ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

12 สูตรน้ำสมุนไพรยอดฮิต ทำขายสร้างรายได้

เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำสมุนไพร หรือน้ำผลไม้ สามารถทำขายเป็นอาชิพเสริมหรืออาชีพหลักได้ โดยเฉพาะน้ำสมุนไพรนั้น ลงทุนน้อย กำไรงาม วิธีทำก็แสนง่ายไม่ยุ่งยาก ทำบรรจุขวดขาย ยิ่งปัจจุบันคนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้นจึงเป็นที่ต้องการของตลาดค่อนข้างมาก น้ำสมุนไพรนั้นหากทำดีๆ รสชาติอร่อยๆ ขายดีแน่นอน วันนี้เรานำ 12 สูตรน้ำดื่มสมุนไพรมาแนะนำ รับรองอร่อย สดชื่น ติดใจเมื่อได้ลิ้มลอง…..


1. น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีน
น้ำกระเจี๊ยบบรรจุขวดทั่วไปดื่มแล้วชื่นใจ แต่ถ้าเพิ่มพุทราจีนลงไปหน่อยจะทำให้มีความหวานหอมกลมกล่อมและมีประโยชน์มากขึ้น


ส่วนผสม น้ำกระเจี๊ยบ
  • ดอกกระเจี๊ยบแดงแห้ง 2 กำมือ
  • พุทราจีน 2 กำมือ
  • น้ำ 3 ลิตร
  • เกลือป่น 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
วิธีทำน้ำกระเจี๊ยบ
  1. ล้างดอกกระเจี๊ยบแดงแห้งและพุทราจีนในน้ำสะอาด เอาเศษฝุ่นออก (อย่าแช่น้ำนานเพราะจะทำให้เสียรสชาติและคุณค่าทางอาหาร)
  2. ต้มน้ำจนเมื่อน้ำเดือดจัดแล้ว จึงใส่กระเจี๊ยบกับพุทราจีนลงไปต้ม ปิดฝา แต่ยังคงไฟร้อนไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง ต้มทิ้งไว้อีก 15 นาที โดยปิดฝาไว้ตลอดเวลา (เคี่ยวจนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี)
  3. เสร็จแล้ว ค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายและเกลือป่นลงไป คนผสมให้ละลาย ในปริมาณที่ชิมแล้วออกหวานเล็กน้อยหรือรสตสมชอบ และไม่มีรสขื่น เท่านี้ก็ใช้ได้ 
  4. กรองน้ำกระเจี๊ยบพุทราจีนด้วยผ้าขาวบางใส่ลงในหม้อสเตนเลสอีกใบ เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย พักให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวพอที่จะกรอกในขวดพลาสติกขนาด 200 ซีซี ได้ (ที่จำหน่ายขั้นต่ำขวดละ 10 บาท)

2. น้ำเสาวรส
น้ำเสาวรสเอาใจคนรักสุขภาพ เชื่อเถอะว่าต้องขายดีแน่นอน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน

ส่วนผสม น้ำเสาวรส
• เนื้อเสาวรส 2 กิโลกรัม
• น้ำเปล่า 2 ลิตร
• น้ำตาลทราย 800 กรัม
• เกลือป่นหยาบ 2 ช้อนชา

วิธีทำน้ำเสาวรส
1. ใส่เนื้อเสาวรสและน้ำเปล่าลงในโถปั่นน้ำผลไม้ ปั่นจนละเอียด จากนั้นเทใส่หม้อ
2. ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนจนส่วนผสมเดือด ยกลงกรองผ่านกระชอน หรือผ้าขาวบาง รอจนอุ่นหรือเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม


3. น้ำหล่อฮั้งก้วย
น้ำหล่อฮั้งก้วย น้ำสมุนไพรขวดสุดฮิตประจำหน้าร้อนต้อง สูตรนี้ใส่ดอกเก๊กฮวยเพิ่มความหอมด้วย วิธีทำไม่ยาก เตรียมขวดให้พร้อม ต้มเสร็จรอให้เย็นแล้วบรรจุขวด

ส่วนผสม น้ำหล่อฮั้งก้วย
  • หล่อฮั้งก้วย 4-5 ผล
  • น้ำเปล่า 3 ลิตร
  • ดอกเก๊กฮวยตากแห้ง 2 กำมือ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
  • น้ำตาลทราย (ตามชอบ)
วิธีทำน้ำหล่อฮั้งก้วย
  1. ล้างผลหล่อฮั้งก้วยให้สะอาดแล้วบิให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อแล้วเทน้ำเปล่าลงไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
  2. นำหม้อที่แช่หล่อฮั้งก้วยขึ้นตั้งไฟอ่อน ใส่ดอกเก๊กฮวยตากแห้งลงไป เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30 นาที จากนั้นเติมน้ำตาลทรายลงไป (ปริมาณตามชอบ) ชิมรส พอครบเวลาปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นเล็กน้อย
  3. นำน้ำหล่อฮั้งก้วยไปกรองผ่านตะแกรง รอจนอุ่นหรือเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม

4. น้ำจับเลี้ยง
น้ำจับเลี้ยงดื่มเมื่อไรสดชื่นทุกครั้ง ยิ่งอากาศร้อนแบบนี้เป็นจังหวะที่ดีอย่างยิ่งเลยค่ะ ทำใส่ขวดขายซะเลย เงินจงมา…

ส่วนผสม น้ำจับเลี้ยง
  • ชุดจับเลี้ยงสำเร็จรูป (50-70 กรัม) จำนวน 1 ห่อ 
  • น้ำ 2 ลิตร 
  • น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลทรายแดง (ตามชอบ) 
วิธีทำน้ำจับเลี้ยง
  1. ใส่เครื่องจับเลี้ยงลงในหม้อ ตามด้วยน้ำ ต้มไฟอ่อนจนเดือด และน้ำเปลี่ยนสี ประมาณ 20 นาที ยกลงจากเตา กรองด้วยผ้าขาวบาง เอาเฉพาะน้ำ เทกลับใส่หม้อ นำขึ้นตั้งไฟ 
  2. ใส่น้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน ต้มจนเดือด ยกลงจากเตา รอจนอุ่นหรือเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม 

5. น้ำเก๊กฮวย
น้ำเก๊กฮวยกลิ่นหอมและดื่มง่าย สูตรนี้มีความหอมจากกลิ่นใบเตยด้วย ทำง่าย ๆ รับรองได้กำไรดีทีเดียว

ส่วนผสม น้ำเก๊กฮวย
  • • ดอกเก๊กฮวย 1 กำมือ
  • • น้ำ 2 ลิตร
  • • น้ำตาลทราย 500 กรัม
  • • ใบเตย 10 ใบ
วิธีทำน้ำเก๊กฮวย
  1. ต้มน้ำ ใส่ใบเตยลงไป รอจนเดือดกับใบเตยจนเดือด ใส่ดอกเก๊กฮวยลงไปเคี่ยวสักพัก
  2. ใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย รอจนเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ พักไว้จนเย็น
  3. พอน้ำเก๊กฮวยเริ่มอุ่น ยกลงกรองกับผ้าขาวบาง (*** ระหว่างแช่ดอกเก็กฮวยห้ามคนเด็ดขาด จะทำให้ขม***)
  4. บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม

6. น้ำดอกคำฝอย
น้ำดอกคำฝอยสรรพคุณแจ่มแต่หาดื่มยากเหมือนกันนะคะ ลองทำเป็นน้ำสมุนไพรขวดขายสิรับรองขายดิบขายดี สูตรนี้นอกจากใส่ดอกคำฝอยลงไปต้มกับน้ำแล้วยังใส่ดอกเก๊กฮวยเพิ่มกลิ่นหอมอีกด้วย เพิ่มความหวานจากน้ำเชื่อมอีกนิด ลูกค้าดื่มต้องติดใจแน่นอน

ส่วนผสม น้ำดอกคำฝอย
  • น้ำ 2 ลิตร
  • ดอกคำฝอยแห้ง 4 ช้อนโต๊ะ
  • ดอกเก๊กฮวยแห้ง 1 กำมือ
  • น้ำตาลทราย (ตามชอบ)
วิธีทำน้ำดอกคำฝอย
  1. ใส่น้ำ ดอกคำฝอย และดอกเก๊กฮวยลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแรงต้มจนเดือดและน้ำเริ่มเปลี่ยนสี
  2. ลดไฟอ่อนลง เติมน้ำตาลทรายลงไปคนผสมให้ละลาย ชิมรสตามชอบ ต้มต่ออีกสักครู่
  3. ยกลงจากเตา กรองเอากากออก รอจนอุ่น ตักใส่ขวด พร้อมดื่ม

7. น้ำมะตูม
ใครสนใจอยากได้สูตรน้ำมะตูมเข้ามาจดสูตรได้เลยค่ะ เริ่มจากเอามะตูมแห้งไปย่างไฟจนหอมแล้วค่อยเอาไปต้มกับน้ำเปล่าค่ะ สูตรนี้ใส่น้ำตาลทรายแดงเพิ่มสีสันและรสหวานกลมกล่อม ถ้าพรุ่งนี้เช้าจะต้มน้ำสมุนไพรขวดขายไปซื้อมะตูมแห้งไว้รอเลย

ส่วนผสม น้ำมะตูม
  • มะตูมแห้ง 10 ชิ้น
  • น้ำ 2 ลิตร
  • น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม
วิธีทำน้ำมะตูม
  1. นำมะตูมแห้งไปย่างไฟ หรือคั่วในกระทะจนมีกลิ่นหอม เตรียมไว้
  2. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางใส่มะตูมที่ย่างไฟลงไปต้มจนเดือดและน้ำเปลี่ยนสี หรือนานประมาณ 30 นาที
  3. จากนั้นใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปคนผสมจนน้ำตาลละลายหมด ชิมรส
  4. ยกลงจากเตา กรองเอากากออก พักทิ้งไว้จนเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม

8. น้ำใบบัวบก

น้ำใบบัวบกทั่วไปอาจมีกลิ่นเหม็นเขียว แต่ขอบอกว่าถ้าใครได้ทำน้ำใบบัวบกสูตรนี้รับรองหอมอร่อยแน่นอน เพราะใส่ใบเตยลงไปเพิ่มความหอม และได้ความหวานจากน้ำเชื่อม ใครได้ดื่มต้องติดใจจ้า

ส่วนผสม น้ำใบบัวบก
  • ใบบัวบก 1 กิโลกรัม ถึง 1.5 กิโลกรัม
  • น้ำ 12 ถ้วย
  • ใบเตย 6 ใบ
  • น้ำเชื่อม 6 ถ้วย
วิธีทำน้ำใบบัวบก
  1. ล้างใบบัวบกให้สะอาด สะเด็ดน้ำ จากนั้นหั่นเป็นท่อนสั้น ๆ เตรียมไว้
  2. ต้มน้ำกับใบเตยจนเดือด พักทิ้งไว้จนน้ำอุ่น
  3. แบ่งใบบัวบกเป็น 6 ส่วน ทยอยใส่ลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำต้มสุกที่อุ่นแล้ว 1 ถ้วยลงปั่นจนละเอียดเป็นน้ำ ทำซ้ำจนหมด
  4. ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาแต่เฉพาะน้ำ
  5. ใส่น้ำเชื่อมลงในน้ำใบบัวบก คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้จนเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม

9. น้ำฟักข้าว
ปิดท้ายกันด้วยสูตรน้ำฟักข้าวสีส้มสรรพคุณเลอค่า ที่หาดื่มยากนัก ใครสนใจทำเป็นน้ำสมุนไพรขวดขายต้องได้รับการตอบรับดีเกินคาดแน่นอน

ส่วนผสม น้ำฟักข้าว
  • ฟักข้าว 2 ลูก
  • น้ำต้มสุก 6 ถ้วย
  • เกลือป่น เล็กน้อย
  • น้ำเชื่อม ตามชอบ

วิธีทำน้ำฟักข้าว
  1. ผ่าครึ่งลูกฟักข้าว คว้านเอาเม็ดออก จากนั้นปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
  2. ใส่เนื้อฟักข้าวลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำต้มสุก ปั่นจนละเอียดเข้ากันดี เติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นตามชอบ คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้จนเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม

10. น้ำอัญชันมะนาว
ดอกอัญชันนอกจากเอาไปทำเป็นสีใส่ขนมไทยได้แล้วยังเอามาทำเครื่องดื่มน้ำอัญชันมะนาว รสชาติเปรี้ยวหวานชื่นใจได้อีกด้วย ใครสนใจไปเด็ดดอกอัญชันหน้าบ้านรอไว้เลย แค่นี้ก็พร้อมต้มน้ำสมุนไพรขวดขายกันแล้ว

ส่วนผสม น้ำอัญชันมะนาว
  • น้ำ 2 ถ้วยตวง
  • ดอกอัญชันสด 100 กรัม
  • น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว (ตามชอบ)
วิธีทำน้ำอัญชันมะนาว
  1. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด ใส่ดอกอัญชันลงต้ม ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที ยกลงจากเตา ยกลงกรองดอกอัญชันออก เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
  2. ผสมน้ำดอกอัญชันกับน้ำเชื่อม น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว คนผสมให้เข้ากัน พักทิ้งไว้จนเย็น บรรจุใส่ขวด พร้อมดื่ม

11. น้ำอัญชัญใบเตย
ส่วนผสม
  • ดอกอัญชัน 1 กำมือ 
  • ใบเตย 3-4 ต้น 
  • น้ำมะนาว 
  • เกลือป่นเสริมไอโอดีน 
วิธีทำ
  1. นำดอกอัญชันมาเด็ดขั้วออกและล้างให้สะอาด เตรียมไว้ และเตรียมใบเตย 3-4 ต้น ล้างให้สะอาดและหั่นครึ่ง เตรียมไว้ 
  2. ต้มน้ำสะอาดในหม้อสเตนเลสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.5 นิ้ว และสูง 9 นิ้ว ต้มจนน้ำเดือดจัด เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วใส่อัญชัน และใบเตยลงไป ปิดฝา แต่ยังคงไฟร้อนไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง ปิดฝาไว้ตลอดเวลา ต้มทิ้งไว้อีก 15 นาที 
  3. เสร็จแล้วบีบมะนาวและเกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อให้สีจากดอกอัญชันออกมามาก ๆ แล้วค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายใส่ลงไป ปริมาณที่ชิมแล้วออกหวานเล็กน้อย และไม่มีรสเฝื่อน 
  4. กรองน้ำด้วยผ้าขาวบางใส่น้ำอัญชันลงในหม้อสเตนเลส อีกใบ เท่านี้ก็ใช้ได้ พักให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวพอที่จะกรอกในขวดพลาสติกขนาด 200 ซีซี ได้ 

12. น้ำตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ใบเตย นั้นมีสรรพคุณช่วยในการลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงธาตุไฟ ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยบำรุงหัวใจ รสเย็นสบาย ให้กลิ่นหอมสดชื่น

ส่วนผสม
  • ตะไคร้สด 6-7 ต้น
  • ใบเตย 3-4 ต้น
  • น้ำตาลทรายแดง
วิธีทำ
  1. นำตะไคร้สดมาตัดใบออก ล้างให้สะอาด แล้วทุบด้านหัวให้พอแตก เตรียมไว้ และเตรียมใบเตยล้างให้สะอาด แล้วหั่นครึ่ง เตรียมไว้
  2. ต้มน้ำสะอาดในหม้อสเตนเลสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.5 นิ้ว และสูง 9 นิ้ว ต้มจนน้ำเดือดจัด เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วใส่ตะไคร้ และใบเตยลงไป ปิดฝา แต่ยังคงไฟร้อนไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง ต้มทิ้งไว้อีก 15 นาที…โดยปิดฝาตลอดเวลา 
  3. เสร็จแล้ว ค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายใส่ลงไปในปริมาณที่ชิมแล้วออกหวานเล็กน้อย และไม่มีรสเฝื่อน
  4. กรองน้ำสมุนไพรด้วยผ้าขาวบางลงในหม้อสเตนเลสอีกใบ แล้วพักให้เย็นตัวพอที่จะกรอกในขวดพลาสติกขนาด 200 ซีซี เท่านี้ก็เสร็จแล้ว
เคล็ดลับความอร่อย
  • การเลือกสมุนไพร การเลือกสมุนไพรที่จะนำมาทำน้ำสมุนไพร ต้องคำนึงถึงสมุนไพรที่สด ถ้าเป็นสมุนไพรที่ต้องทำให้แห้ง ควรเลือกสมุนไพรที่ใหม่สะอาด ดูลักษณะ สี กลิ่น ดูว่ามีเชื้อราหรือไม่ สมุนไพรที่สดใหม่ช่วยให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูง สีสันน่ารับประทาน 
  • ความสะอาด ทั้งสมุนไพรและภาชนะที่ใช้ต้องสะอาด ป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ ถ้าไม่สะอาด อาจทำให้ผู้ดื่มน้ำสมุนไพร ท้องเสีย และยังทำให้สมุนไพรเก็บไม่ได้นานเท่าที่ควร 
  • ภาชนะที่ใช้ ภาชนะที่ต้มควรจะเป็นหม้อเคลือบ ไม่ควรใช้หม้ออลูมิเนียม เพราะอาจทำให้กรดที่อยู่ในสมุนไพรกัดภาชนะ ถ้าเป็นหม้อหรือกะทะทองเหลืองจะทำให้รสของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป นอกจากนี้การที่เราดื่มน้ำสมุนไพรที่มีสารโลหะหนักผสมอยู่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สำหรับภาชนะที่บรรจุควรจะเป็นขวดแก้ว จะสะดวกในการนึ่ง และน้ำสมุนไพรจะไม่ทำปฏิกิริยากับขวดแก้ว ภาชนะที่เป็นแก้วยังดูใสสะอาดน่าดื่มยิ่งขึ้น
  • เทคนิคของการที่ทำให้น้ำสมุนไพรอยู่ได้นานถึง 7 วัน โดยไม่ต้องใส่สารกันบูด คือระหว่างที่รอให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวนั้น ให้นำหม้อน้ำสมุนไพรนี้ ใส่ลงในกะละมังที่มีน้ำเย็นอยู่ วิธีนี้จะทำให้น้ำสมุนไพรอยู่ได้นานขึ้น
เอาล่ะ… ใครอยากทำขายก็จัดไป รับรองถ้าทำขายหมุนเวียนกันไปทุกวันลูกค้าไม่เบื่อแน่นอน

Credit: chaoprayanews.com
www.msn.com

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

แจกสูตรยำปลาดุกฟู 2 สูตรอร่อยเด็ด ทำขายได้เลย


เมนูอาหารไทย “ยำปลาดุกฟู” รับประกันความอร่อยจนต้องบอกต่อ เนื้อปลาดุกทอดจนเหลืองกรอบ คลุกเคล้าด้วยน้ำยำมะม่วงสับรสจัดจ้าน ผสานกับความหอมมันของถั่วลิสงทอดอย่างลงตัว จึงเป็นที่ถูกใจของหลายคนที่ชอบอาหารรสแซ่บจัดจ้าน วันนี้ครัว zabwer.com ขอแนะนำยำปลาดุกฟู 2 สูตรรสเด็ด อร่อยทั้ง 2 สูตร ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ทำทานที่บ้านหรือสามารถนำไปทำขายได้เลย….

ยำปลาดุกฟู สูตรที่ 1
สูตรนี้ครัว zabwer.com ขอนำเสนอ เป็นอีกสูตรที่ทำง่าย และอร่อยแซ่บจัดจ้าน


ส่วนผสม
  1. ปลาดุกย่างตัวขนาดกลาง (ตัวขนาดประมาณ 500 กรัม) แกะเอาแต่เนื้อ 1 ตัว 
  2. เกล็ดขนมปัง ½ ถ้วย
  3. หอมแดง ซอย ¼ ถ้วย (ซอย)
  4. มะม่วงดิบเปรี้ยว สับและฝาน 1 ลูก หรือ 1 ถ้วยตวง
  5. ผักขึ้นฉ่าย หั่นท่อน ½ ถ้วยตวง
  6. ถั่วลิสง หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ¼ ถ้วยตวง
  7. แครอท ซอยเป็นเส้นๆ (ใส่ หรือไม่ใส่ก็ได้)
  8. ผักกาดหอม สำหรับรองจาน
  9. น้ำมันพืช สำหรับทอด
ส่วนผสมน้ำยำปลาดุกฟู
  1. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลปี๊บ หรือน้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ
  4. พริกขี้หนูสวน บุบพอประมาณ 10 เม็ด
วิธีทำ
  1. นำปลาดุกไปย่างให้สุก จะย่างเองหรือซื้อมาก็ได้…แกะเอาแต่เนื้อปลา และที่สำคัญนำเนื้อปลามาสับให้ละเอียด
  2. นำเนื้อปลาสับมาผสมกับเกล็ดขนมปังให้เข้ากัน แล้วสับให้ละเอียดอีกที 
  3. ใส่น้ำมันพืชในกระทะ (ใช้น้ำมันมาก) ตั้งไฟพอร้อนจัดให้นำปลาดุกที่ผสมไว้ทอดให้เหลืองฟู ล้างผักกาดหอมลอกเป็นกาบ ทอดถั่วลิสงจนสุก เด็ดผักชีเป็นใบ
  4. ผสมน้ำยำ คือน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลทราย และพริกขี้หนูสวน คนให้เข้ากัน และใส่มะม่วงดิบ หอมแดงซอย และผักขึ้นฉ่ายหั่นท่อน ผสมลงไป ชิมรสตามชอบ
  5. จัดปลาดุกฟูใส่จานที่รองด้วยผักกาดหอม โรยถั่วลิสงคั่ว เสิร์ฟคู่กับน้ำยำที่ใส่ถ้วย (ในข้อที่ 4) หรือจะราดน้ำยำลงบนเนื้อปลาดุกฟูทอดเลยก็ได้
ยำปลาดุกฟู สูตรที่ 2
สูตรนี้คุณ MONROVIA สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้นำมาโพสท์แบ่งปันเอาไว้ แนะวิธีทำไว้ค่อนข้างละเอียด แถมรสชาติที่ได้ก็อร่อยอีกต่างหาก ลองไปดูวิธีทำกัน


ส่วนผสม
  1. ปลาดุก 1 กิโลกรัม
  2. น้ำมันพืช สำหรับทอด
  3. ถ่าน สำหรับย่าง
ส่วนผสมน้ำยำ
  1. มะนาวลูกใหญ่ 10 ลูก
  2. น้ำปลาทิพรส
  3. น้ำตาลปี๊บเคี่ยว 1 กิโลกรัม
  4. พริกขี้หนู 2 ขีด

ผักที่ใช้
  1. ขึ้นฉ่าย
  2. หอมแขก
  3. มะม่วงน้ำดอกไม้ (มะม่วงเปรี้ยว) 
  4. ผักกาดหอม สำหรับรองจาน

วิธีทำยำปลาดุกฟู
1. ล้างปลาดุกให้สะอาด เตรียมใส่ตะแกรงย่าง ถ้าย่างทีละเยอะๆ ก็จะใส่ถังย่างกันเลย
2. พอปลาสุกแล้วก็รอให้เย็น
3. แกะเนื้อปลา แยกหนังแยกเนื้อ ก็จะได้เนื้อแบบในรูปที่ 3
4. แล้วก็สับเนื้อปลาให้ละเอียด ถ้าปลายังแฉะๆ อยู่ก็ผึ่งให้แห้งซะหน่อย …เมื่อปลาแห้งพอสมควรแล้ว ก็ซุยๆ เตรียมไว้ (ไม่ต้องผสมอะไรทั้งสิ้น)
5. ตั้งกะทะใส่น้ำมันประมาณ 1 ลิตรครึ่ง ให้น้ำมันร้อนพอสมควร สังเกตุจากลองโรยเนื้อปลาลงไปนิดนึงถ้าจมแล้วลอยปั๊บแสดงว่าเอาปลาทอดได้ ให้ใส่ปลาลงไป 1 กำมือ
6. ลงไปแล้วมันก็จะซ่าสักพัก …เดี๋ยวเสียงซ่านั้นหมดก็เตรียมพลิกกัน


7. พอได้แบบนี้แล้ว เตรียมพลิกได้เลย


8. เริ่มจากพลิกขวา พลิกซ้าย ทบหัว และทบหาง นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน ตักขึ้นพักบนกระดาษซับน้ำมัน


9. ส่วนน้ำมันก็เบาไฟอ่อนๆ นำถั่วลิสงลงทอดต่อได้เลย ก็จะได้ถั่วคั่วสุกหอมๆ แล้ว
จัดปลาดุกฟูใส่จานที่รองด้วยผักกาดหอม โรยถั่วลิสงคั่ว ใส่หอมแดง มะม่วงสับ และผักขึ้นฉ่าย ลงไปตกแต่งให้สวยงาม เสิร์ฟคู่กับน้ำยำปลาดุกฟูที่ใส่ถ้วย

วิธีทำน้ำยำปลาดุกฟู
ทำน้ำยำโดยผสมน้ำตาลปี๊บเคี่ยว น้ำปลา และน้ำมะนาว โดยอัตราส่วน 2:1:1 เข้าด้วยกันในถ้วย และใส่พริกขี้หนูลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ชิมรสตามชอบ


เคล็ดลับความอร่อยวิธีทำยำปลาดุกฟู ให้กรอบฟู อร่อย
  • ปลาดุกย่าง …ถ้าย่างเองก็นำปลาดุกมาล้างให้สะอาดและนำไปย่าง …หรือจะย่างในเตาอบด้วยอุณหภูมิประมาณ 230 องศาเซลเซียส จนสุกทั่วกันก็ได้
  • ทำให้ปลาดุกฟูและไม่อมนำ้มัน: ปลาดุกที่ย่างสุกแล้ว เอามาแร่เอาแต่เนื้อหัวและหางเก็บไว้จัดจานให้สวยงาม แร่เนื้อมาสับให้ละเอียดแล้วก็นำมาตำอีกทีเพื่อให้มันฟู เมื่อตำแล้วก่อนจะทอดปลาที่ตำแล้ว ควรผึ่งปลาให้แห้งก่อนสักนิด เพราะถ้าไม่ผึ่งเนื้อปลาที่ทอดออกมาจะอมน้ำมันมากแล้วก็ไม่ฟู 
  • น้ำมันที่ใช้ทอดต้องเยอะและร้อนจัดบนไฟกลาง แล้วจึงใส่เนื้อปลา (หรือเนื้อปลาดุกผสมเกล็ดขนมปัง) ลงทอด ทอดให้ฟูเหลืองทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักบนกระดาษซับน้ำมัน
  • ถ้าทำขาย ก็ต้องลองดูว่าจะผสมเกร็ดขนมปังมากน้อยแค่ไหนถึงจะอร่อย คุ้มทุน และลูกค้าติดใจ เช่น ปลาดุกหนึ่งตัวสามารถทอดได้ 3 ครั้ง แบ่งดังนี้ เนื้อปลาที่ตำประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ กับเกร็ดขนมปัง 5 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน หยอดน้ำมันพืชลงไปในถ้วยที่มีปลาดุกกับเกร็ดขนมปังนิดหน่อย เพื่อให้มันติดกันและฟูมากขึ้น
  • น้ำจิ้มหรือน้ำราดที่กินกับปลาดุกฟู ก็คือยำมะม่วงนั้นเอง หรือแล้วแต่ละคนจะไปดัดแปลง วิธีทำยำมะม่วงก็คือ มะม่วงสับหยาบหรือละเอียดแล้วแต่ชอบ พริกขี้หนูซอยละเอียด หอมแดงซอย น้ำปลา น้ำเชื่อม กุ้งแห้ง และโรยหน้าด้วยถั่วลิสง
  • มะม่วงที่นำมาใช้ ถ้าเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ รสเปรี้ยวมาก...ให้ลดมะนาวลง

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

สูตรก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ และวิธีทำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ให้อร่อย

สูตรอาหารและวิธีทำ“ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่” รสชาติอร่อยเด็ด ไม่แพ้สูตรก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เยาวราช เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดกับไก่และปลาหมึก คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงอย่างลงตัว ทำให้ได้ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและความกรอบนอกนุ่มใน อีกทั้งยังสามารถปรุงรสเพิ่มความแซ่บได้ตามใจชอบ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารประเภทเส้นที่อร่อยและเป็นที่ชื่นชอบของหลายคน สำหรับสูตรที่ zabwer.com นำมาแนะนำนี้รับประกันว่า อร่อยเด็ดแน่นอน


ส่วนผสม
  1. เนื้ออกไก่ 250-300 กรัม หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ
  2. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
  4. ไข่ขาว 1/2 ฟอง
  5. พริกไทยป่น 2 ช้อนชา
  6. น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
  7. ปลาหมึกแช่ หั่นชิ้น 12 ชิ้น
  8. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  9. ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 500 กรัม
  10. ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  11. น้ำมันหอย 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
  12. น้ำมันหมู 2 ช้อนโต๊ะ
  13. ตั้งฉ่าย 1 ช้อนโต๊ะ
  14. ต้นหอม หั่นท่อน 1 ถ้วย
  15. ผักกาดหอม 4 ใบ
  16. มะนาวครึ่งลูก (ผ่าซีก) 
เครื่องกินแนม คือ ปาท่องโก๋ตัวเล็ก
เครื่องปรุงรส คือ พริกชี้ฟ้าสีเหลืองหั่นแว่นดองน้ำส้มสายชู

วิธีทำ
  1. คลี่เส้นก๋วยเตี๋ยวในชามผสม เพื่อไม่ให้เส้นติดกันเป็นแผ่นหนา ใส่ชามผสมเตรียมไว้
  2. หมักไก่ โดยนำอกไก่มาหั่นเป็นชิ้นพอคำ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย ไข่ขาว พริกไทยป่น และน้ำเปล่า คลุกเคล้าให้เข้ากันกับเนื้อไก่ หมักไว้ 20-30 นาที
  3. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมันหมูจนร้อน ใส่เนื้อไก่ที่หมักและตั้งฉ่าย ตามด้วยปลาหมึกแช่ เร่งเป็นไฟแรง ผัดให้เข้ากันพอสุก แล้วจึงใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดให้ทั่วและมีกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวและน้ำมันหอย ผัดให้ทั่ว แล้วกันเส้นไว้ด้านหนึ่งของกระทะ ใส่น้ำมันหมูเล็กน้อย พอน้ำมันร้อนต่อยไข่ใส่ ผัดพอไข่ใกล้สุก จึงตลบเส้นที่พักไว้มาทับไข่ ขยี้เส้นกับไข่ให้เข้ากันด้วยการผัดเร็วๆ จะทำให้เส้นกับไข่สุกเหลืองเข้ากันพอดี พอเครื่องกับเส้นใกล้ๆ จะสุกลดไฟลง ผัดจนแห้งและมีกลิ่นหอม 
  4. ลองชิมรสให้รสชาติเค็มนำ ตามด้วยหวานเล็กน้อย ปิดไฟ 
  5. จัดเสริฟ์โดยนำผักกาดหอมมารองจาน ตักก๋วยเตี๋ยวไก่วางบนผัก โรยด้วยพริกไทยป่น ต้นหอม มะนาวหั่นซีก เสริฟคู่กับซอสพริก 

เคล็ดลับความอร่อย
  • การผัดก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ มีเคล็ดลับอยู่ว่า…ไฟต้องแรง น้ำมันน้อย ผัดให้เร็ว เวลาผัดใช้ไฟแรง ใส่ไก่กับตั้งฉ่ายลงไปคั่ว พอใกล้จะสุกได้ที่ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว ปรุงรส แล้วตอกไข่ใส่เส้น ขยี้เส้นกับไข่ให้เข้ากันด้วยการผัดเร็วๆ จะทำให้เส้นกับไข่สุกเหลืองเข้ากันพอดี พอเครื่องกับเส้นใกล้ๆ จะสุกลดไฟลง เพื่อให้ได้กลิ่นไฟกลิ่นกระทะ ซึ่งจะหอมต่างจากการผัดก๋วยอย่างอื่น แล้วจึงตักใส่ชามที่รองด้วยผัดกาดหอม อันเป็นเอกลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่
  • หากใช้กระทะทองเหลือง หรือกะทะเหล็ก จะทำให้อาหารร้อนเร็วขึ้น ต้องผัดไม่ให้เส้นแฉะ และใช้ไฟแรงขึ้น
  • น้ำมันหมูจะทำให้ก๋วยเตี๋ยวหอม หรือจะใช้น้ำมันกระเทียมเจียวแทนก็ได้
  • เพิ่มกลิ่นหอมและความกลมกล่อมได้โดยการเจียวกระเทียมสับในขั้นตอนที่ 2 ก่อนใส่ไก่ลงไปผัด

สูตรไข่เจียวลาบ เมนูอาหารทำง่ายๆ อร่อยแซ่บ


สูตรไข่เจียวลาบ - เมนูไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม ล้วนเป็นเมนูยอดฮิตของคนไทย สามารถทำได้ง่ายๆ ทำทานได้ทุกวัน แถมประหยัดตังค์ในกระเป๋าอีกด้วย เมนูไข่เจียวนั้นสามารถใส่เครื่องปรุงหรือส่วนผสมได้มากมายตามใจชอบ ทานได้ไม่เบื่อ วันนี้ครัวแซ่บเวอร์ขอนำเสนอสูตรไข่เจียวลาบเป็นเมนูอาหารที่ทำง่ายๆ แต่รับรองว่าอร่อยแซ่บ สำหรับสูตรไข่เจียวลาบนั้นจะได้รสชาติและกลิ่นอายของลาบ โดยเฉพาะได้กลิ่นหอมของข้าวคั่วที่เปลี่ยนเมนูไข่เจียวแสนธรรมดาให้อร่อยขึ้นได้อีกเยอะ ที่มีวิธีทำง่ายๆตามนี้เลย….


ส่วนผสม (สำหรับ 1-2 ที่)
  1. ไข่ไก่ 3 ฟอง
  2. พริกขี้หนูป่น 2-3 ช้อนชา
  3. ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำมันพืช ½ ถ้วย
  7. หอมเล็กซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  8. ต้นหอมและผักชีซอยรวมกัน 1 ช้อนโต๊ะ
  9. ผักชีฝรั่ง ซอยสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ
  1. ตอกไข่ใส่ชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว พริกป่น ตามด้วยหอมเล็ก ต้นหอมและผักชีซอยลงไป ใช้ส้อมตีให้เข้ากัน …ก่อนทอดใส่ข้าวคั่วคนให้เข้ากัน
  2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันบนไฟกลางพอร้อน ใส่ไข่ที่ตีแล้วลงไปทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน ปิดไฟ ตักพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
  3. ตักไข่เจียวใส่จาน โรยข้าวคั่วและพริกป่นสักหน่อยเพื่อความหอม ตกแต่งด้วยด้วยผักชีฝรั่งหรือผักตามชอบ ก็เป็นว่าพร้อมเสิร์ฟ^^
เคล็ดลับความอร่อย วิธีทอดไข่เจียวลาบให้ฟูกรอบอร่อย
  • วิธีทอดไข่เจียวให้ฟูและกรอบ คือ ตอนที่จะนำไข่ที่ตีแล้วลงไปทอดในกระทะให้นำตะแกรงหรือกระชอนตาห่างๆ มารอง แล้วค่อยๆ ใส่ไข่ลงไป จับตะเเกรงขึ้นๆ ลงๆ ก็จะทำให้ไข่กระจายไม่เกาะตัวเหมือนเนื้อไข่เจียวปกติ แต่ไข่เจียวที่ได้เนื้อจะกรอบอร่อย ขึ้นฟู และน่ารับประทาน ทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน ปิดไฟ ตักพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
  • ข้าวคั่ว ถือเป็นเมนูสำคัญของอาหารเมนูลาบ ความหอมของข้าวนั้นจะช่วยชูรสอาหารอย่างมาก ดังนั้นถ้าได้ข้าวคั่วที่หอม กรอบ อร่อยมาทำ ย่อมทำให้อาหารเมนูลาบต่างๆอร่อยยิ่งขึ้นแน่นอน

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

ไข่พะโล้สูตรโบราณ รสเด็ด ทำกินก็ได้ทำขายก็ขายดี

เมนูอาหารไข่พะโล้ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนไทยนิยมทานกันมาก ชนิดที่ว่าร้านข้าวแกงแทบทุกร้านต้องมีเมนูไข่พะโล้ไว้ขาย การทำพะโล้ให้อร่อยนั้นไม่ใช่เรื่องยากหากรู้วิธีและเคล็ดลับ สำหรับการทำไข่พะโล้แบบสูตรโบราณนั้นจะให้ความหอมอร่อยเข้มข้นถึงเครื่องมากกว่าการใช้ผงพะโล้สำเร็จรูป ทานแล้วจะรู้สึกชัดเจนเลยว่าน้ำแกงจะเข้ากันดีกับเนื้อและไข่ สำหรับสูตรที่ครัวแซ่บเวอร์ดอทคอมนำมาแนะนำในวันนี้รับรองว่าอร่อยเด็ดชนิดที่สามารถทำขายได้เลยทีเดียว

ไข่พะโล้สูตรโบราณ สูตรที่ 1


ส่วนผสม
  1. หมูสามชั้น หรือสันคอติดมัน
  2. ไข่ไก่ต้ม/ ไข่เป็ดต้ม ปอกเปลือก 5 ฟอง
  3. ข่าหั่นเป็นแว่นประมาณ 20แว่น
  4. กระเทียมตำละเอียด 1กำมือ 
  5. รากผักชี โขลกละเอียด 
  6. พริกไทเม็ดตำละเอียด ประมาณ 1ช้อนชา
  7. ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ
  8. เกลือ
  9. น้ำตาลทรายแดง
  10. ผักชี
  11. น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
  1. นำทุกอย่างลงหม้อ แล้วจึงใส่น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง ใส่ซีอิ๊วดำลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวพอเดือด และมีกลิ่นหอม 
  2. แล้วใส่หมูสามชั้นลงไป ถ้าน้ำไม่ท่วมหมู เติมน้ำเพิ่มได้
  3. เมื่อต้มจนหมูสุกแล้ว ก็เติมน้ำลงไปอีก ปรุงรสด้วยใส่เกลือ หรืออาจใส่ผงปรุงรส (รสดี) ลงไปด้วยก็ได้ และใส่น้ำตาลทรายแดงลงไป ชิมรสให้รสออกหวานนำ 
  4. พอเดือดก็ใส่ไข่ต้มลงไป และต้องให้น้ำท่วมไข่ด้วย
  5. เคี่ยวต่อไป จนกระทั่งหมูเปื่อย จึงใส่ผักชีลงไป ปิดไฟ ตักใส่ชามพร้อมเสิร์ฟ
แนะนำเพิ่มเติม
  • ถ้าอยากให้ไข่มีสีน้ำตาลเข้ม ในขั้นตอนที่ 1 คือเคี่ยวน้ำ ให้ใส่ซีอิ๊วดำลงไปก่อนเลย
ไข่พะโล้สูตรโบราณ สูตรที่ 2
สำหรับสูตรนี้แนะนำไว้โดยคุณหมูแดงโพสไว้ที่ครัวไกลบ้านดอทคอม (http://www.kruaklaibaan.com/viewtopic.php?t=41985&s=a31ffb01028ffcbd566795387d596357&showtopic=41985)


เครื่องปรุง
  1. ไข่เป็ด หรือไข่ไก่ 12 ฟอง
  2. หมูสามชั้น หรือสันคอติดมัน (หั่นเป็นชิ้นพอคำ หรือชิ้นใหญ่ตามชอบ) 500 กรัม
  3. เต้าหู้ขาว (แผ่น 4 เหลี่ยมจตุรัส) 1 แผ่น 
  4. สามเกลอ 1 ช้อนโต๊ะ (กระเทียมไทยเม็ดเล็ก 10-15 กลีบ + พริกไทย 1 ช้อนชา รากผักชี 7-8 ราก ตำละเอียด)
  5. อบเชย 2 ก้าน
  6. โป๊ยกั๊ก 8-10 ดอก
  7. น้ำตาลปี๊บ 2 ทัพพี
  8. เกลือ, ซีอิ๊วขาว
  9. น้ำมันพืช สำหรับผัดเครื่องเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
  10. น้ำเปล่า 1.5 -2 ลิตร 

วิธีทำ
1. เตรียมส่วนผสมไว้ให้พร้อม
  • ต้มไข่ให้สุก โดยตอนต้มใส่เกลือลงไปเล็กน้อย ที่ไฟแรงประมาณ 10 นาทีหรือจนไข่สุก นำไปแช่น้ำเย็นทันที แล้วแกะเปลือกออก พักไว้
  • ล้างหมูสามชั้นให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นหนาขนาดพอดีคำ หรือชิ้นใหญ่ตามต้องการ
  • นำเต้าหู้มาหั่นชิ้นพอดีคำ แล้วทอดให้เหลืองกรอบ พักไว้
  • ดอกจันทน์ (โป๊ยกั๊ก) กับอบเชยที่เตรียมไว้ นำมาห่อผ้าแล้วมัดให้แน่น หรือใช้เป็นถุงชาก็สะดวกดี เวลาต้มจะได้ไม่ลอยหน้า
  • น้ำตาลปี๊บควรใส่ถ้วยเตรียมไว้ ถ้าใช้เป็นน้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลปึกที่มันแข็งมากๆ ควรนำออกมาทุบให้แตกสักหน่อยก่อน ไม่อย่างนั้นจะลำบากตอนผัดเครื่อง

2. นำเครื่องเทศมาโขลกให้ละเอียด เริ่มจากใส่พริกไทยขาวเม็ด 1 ช้อนชาลงไปในครกโขลกให้เป็นผงละเอียดยิบเลย แล้วจึงค่อยใส่รากผักชี กระเทียมกลีบ และเกลือนิดหน่อย ลงไปโขลกรวมกันให้ละเอียดยิบ (เพราะถ้าตำหยาบๆ เวลาทำไข่พะโล้แล้วเครื่องตำมันจะแล่นใบลอยหน้าหม้อพะโล้ไม่สวย) ตักขึ้นใช้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
3. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืช นำสามเกลอลงไปผัดให้หอม (ยิ่งใส่รากผักชีเยอะๆ จะยิ่งหอมชวนกิน) หมั่นคนและระวังอย่าใช้ไฟแรงเกินไป เพราะมันจะไหม้ทำให้กลิ่นเพี้ยนไป


4. ใส่น้ำตาลปิ๊บลงไปผัดให้เป็นสีน้ำตาลเข้มด้วยไฟปานกลาง (ต้องผัดเรื่อยๆ ห้ามหยุดมือเด็ดขาด ไม่งั้นน้ำตาลจะไหม้) ผัดจนได้สีน้ำตาลเข้มจัดอย่างที่ต้องการแบบนี้


5. จากนั้นใส่หมูสามชั้นลงไป ผัดเร็วๆให้เข้ากัน ไม่ผัดหมูนานนะ แค่พอให้น้ำตาลเคลือบ แล้วใส่ไข่ต้มตามลงไป ผัดให้เข้ากันให้น้ำตาลเคลือบไข่ (อาจจะเคลือบไม่ทั่วเพราะน้ำตาลเป็นก้อนซะก่อนก็ไม่เป็นไร)


6. จากนั้นเติมน้ำเปล่าลงไปกะให้ท่วมมากหน่อย เพราะเวลาเราเคี่ยวมันจะแห้งลงอีก
7. ใส่เต้าหู้หั่นชิ้นลงไป (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบเลย)


8. เอาห่ออบเชยใส่ลงไปกดให้จมลงหน่อย เปิดไฟแรง …รอให้หม้อพะโล้เดือด (ใช้เวลาไม่นาน จะปิดฝาหรือไม่ปิดผาก็ได้)


9. ปรุงรสตามชอบ หรือชิมรสให้ออกหวานนำ เค็มตาม…สูตรเดิมของแม่จะปรุงรสด้วยเกลืออย่างเดียว แต่หมูแดงชอบกลิ่นของซีอิ๊วขาวก็เลยปรับสูตรของแม่นิดหน่อย โดยใช้ซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์มาเป็นตัวชูรสด้วยใส่ลงไป 2 ทัพพี (ควรใส่ไปทีละน้อยๆ รสอ่อนไปยังเติมได้อีก แต่ถ้าใส่ไปเยอะๆ คราวเดียวจะแก้ไม่ได้) ตามด้วยใส่เกลือลงไป 1 ช้อนชา พอชิมรสได้ที่แล้วก็ปิดฝาหม้อ


10. จากนั้นลดไฟลงเหลือแค่ไฟอ่อน เคี่ยวไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ …ก็จะได้ไข่พะโล้สุก รสอร่อยเข้มข้น หมูเปื่อยพอดีๆแล้ว ใส่ผักชีก่อนเสิร์ฟไข่พะโล้กับข้าวสวยร้อนๆ
• ตรงนี้มีเทคนิคมาแนะนำ: สำหรับคนที่ชอบกินไข่พะโล้ค้างคืน แบบไข่ขาวเนื้อเด้งๆ ก็ไม่ต้องเคี่ยวนาน แต่เราจะเอาพะโล้ตั้งไฟแรงๆ ประมาณ 15 นาทีแล้วปิดไฟ ปิดฝาหม้อ อบไข่พะโล้ทิ้งไว้อย่างนั้นเลย แล้ววันรุ่งขึ้นเอามาอุ่นอีกที ถ้าหมูยังไม่เปื่อยมากนัก เราก็เคี่ยวต่ออีกหน่อย ก็จะได้ไข่พะโล้ที่เนื้อไข่ขาวเด้งๆอย่างต้องการ


พะโล้ขาหมู คุณหมูแดงเอาขาหมูมาเลาะกระดูกออก หั่นเป็นชิ้นโตหน่อย ต้มน้ำทิ้ง 1 ครั้ง แต่ไม่ต้องเคี่ยว แค่ต้มให้เดือดแล้วเทน้ำทิ้ง ล้างให้สะอาด แล้วเอามาทำพะโล้

เคล็ดลับเพิ่มเติมวิธีทำไข่พะโล้ให้อร่อย
  • วิธีทำไข่พะโล้สูตรโบราณ คืออยู่ที่การผัดเครื่องให้ถึง แล้วเคี่ยวน้ำตาลให้ได้สีสวยเคลือบหมูและไข่ ไข่พะโล้ที่ได้จึงหอมน้ำตาลเคี่ยว รสชาติออกหวานนำเค็มตาม ยิ่งเคี่ยวยิ่งอร่อย โดยเฉพาะเมื่อเราทิ้งไว้ข้ามคืนก็จะได้ไข่ขาวเนื้อแน่นๆ เด้งๆ อย่างที่ต้องการ
  • ไข่พะโล้ต้องตุ๋นต่ออย่างน้อย 45 นาที เพื่อให้เนื้อหมูนิ่ม น้ำพะโล้เข้มข้นและเข้าเนื้อไข่ ไม่เช่นนั้นจะได้ไข่พะโล้รสจืดเหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง
  • หมูสามชั้น ควรเลือกหมูที่มีเนื้อมากกว่ามันหมู ไข่พะโล้จะได้ไม่เลี่ยนเกินไป หรือจะใช้เนื้อส่วนขาหมูก็ได้ถ้าชอบ ถ้าอยากใส่ไก่แนะนำให้ใช้ส่วนปีกไก่ เป็นปีกบนหรือปีกปลายก็ได้ เพราะตุ๋นนานๆ แล้วเนื้อนุ่ม อร่อย ส่วนอกไก่และสะโพกจะแห้งไม่อร่อย ถ้าไม่อยากใส่เนื้อสัตว์เลยจะใส่แต่เต้าหู้อย่างเดียวก็ได้
  • ถ้าใครไม่มีน้ำตาลปี๊บ ใช้น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาวแทนก็ได้ แต่ถ้าหาน้ำตาลปี๊บได้ก็จะดี เพราะรสชาติหวานนุ่มนวลและกลิ่นหอมกว่าน้ำตาลทราย ส่วนน้ำตาลทรายขาวจะหวานแหลม
  • ไม่ควรใส่น้ำปลา เพราะจะทำให้มีกลิ่นคาว
  • การใส่เกลือนิดหน่อยลงไปในครกเวลาโขลกเครื่องเทศ เพื่อช่วยให้ตำได้ละเอียดเร็วขึ้น เพราะความคมของเม็ดเกลือจะช่วยให้ตำง่ายขึ้น

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

ทอดมันกุ้ง 2 สูตรเด็ด อร่อยเลิศแถมทำง่าย


เมนูอาหาร "ทอดมันกุ้ง" อีกหนึ่งเมนูอาหารทำง่ายๆ เมนูอาหารว่างทานเล่น ใช้เวลาไม่นาน ทำทานเป็นกับข้าวก็ได้หรือไว้ทานเล่นเป็นอาหารว่างก็เข้าที ทอดมันกุ้งกรอบนอกนุ่มในทานคู่กับน้ำจิ้มไก่รสเด็ด รับประกันความฟิน สำหรับวันนี้ครัว zabwer.com ขอนำเสนอ 2 สูตรทอดมันกุ้ง สูตรทำง่ายแต่อร่อยเลิศมาฝากครับ


ทอดมันกุ้งสูตรที่ 1 อร่อยและทำง่ายเวอร์
ทอดมันกุ้งสูตรนี้แนะนำไว้โดยคุณ สมาชิกหมายเลข 715400 แห่งเว็ปไซต์พันทิปดอทคอม เป็นอีกสูตรที่ทำง่ายแต่อร่อยแน่นอน ลองไปดูวิธีทำกันเลย


ส่วนผสม
  1. กุ้งสด ปอกเปลือก เอาเส้นดำออกให้หมด
  2. กระเทียมปอกเปลือก
  3. พริกไทย
  4. ผงปรุงรส
  5. น้ำตาล
  6. แป้งโกกิ
  7. ไข่ไก่
  8. เกล็ดขนมปัง

วิธีทำ
  1. นำกุ้งกับกระเทียมมาบดผสมรวมกัน
  2. เสร็จแล้วใส่เครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นเกล็ดขนมปัง แล้วผสมให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็น 30 นาที
  3. นำมาปั้นแล้วคลุกกับเกล็ดขนมปัง หากปั้นไม่ได้เนื่องจากยังเหลวให้ผสมแป้งโกกิเพิ่ม แต่อย่ามากไป ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นทอดมันแป้งโกกิ
  4. ลงทอดด้วยกำลังไฟกลางๆ
  5. เสร็จแล้ว เราก็จะได้ทอดมันกุ้งที่อร่อยที่สุด พร้อมรับประทานคู่กับเมนูอื่นๆก็เพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น
ทอดมันกุ้งสูตรที่ 2


ส่วนผสม
  1. กุ้งสด ปอกเปลือก เอาเส้นดำออกให้หมด ผ่าหลัง 300 กรัม 
  2. แป้งมันสำปะหลัง สำหรับล้างกุ้ง ¼ ถ้วยตวง 
  3. มันหมูแข็งบดละเอียด 60-80 กรัม 
  4. พริกไทยป่น 1 ช้อนชา 
  5. กระเทียมกลีบเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ 
  6. รากผักชี 2-3 ราก 
  7. ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนชา 
  8. เกลือป่นละเอียด ¼ ช้อนชา 
  9. น้ำมันงา 1 ช้อนชา 
  10. แป้งสาลีอเนกประสงค์ ¼ ถ้วยตวง 
  11. ไข่ไก่ตีพอแตก 2 ฟอง 
  12. เกล็ดขนมปังป่นเล็กๆ 1 ถ้วยตวง 
  13. น้ำมันพืชสำหรับทอด 
  14. น้ำจิ้มไก่ หรือน้ำจิ้มบ๊วย 
วิธีทำ
  1. นำกุ้งที่เตรียมไว้ โรยแป้งมันสำปะหลังบนตัวกุ้งคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ประมาณ 5 นาที ล้างให้สะอาดซับให้แห้ง นำเข้าตู้เย็นจนเย็นจัด 
  2. นำรากผักชี กระเทียม และพริกไทยป่น โขลกเข้ากันให้ละเอียด 
  3. ทุบกุ้งด้วยมีดปังตอพอแหลกผสมรวมกับมันหมูแข็ง ใส่ส่วนผสมที่โขลกไว้ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือป่น และน้ำมันงา นวดจนส่วนผสมเหนียวและแห้ง 
  4. ชั่งส่วนผสมก้อนละประมาณ 50 กรัม ปั้นเป็นก้อนกลม กดให้แบนเล็กน้อย คลุกแป้งสาลี ชุบไข่ไก่ และคลุกเกล็ดขนมปังป่นให้ทั่ว 
  5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อนได้ที่ ใส่ทอดมันกุ้งลงทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มบ๊วยหรือน้ำจิ้มไก่

ขนมปังหน้าหมู สูตรกรอบอร่อยเหมือนร้านทำขาย


เมนูอาหารทานเล่น เมนูอาหารว่าง วันนี้ขอนำเสนอ ขนมปังหน้าหมู เป็นเมนูอาหารที่ทำง่ายๆ สามารถทำทานเอง ทำเป็นของฝากเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ทำขายเลยก็ได้ สำหรับสูตรขนมปังหน้าหมูนี้มีส่วนประกอบไม่มาก ทำได้ง่าย พร้อมเคล็ดลับการทอดที่ไม่ทำให้ขนมปังอมน้ำมัน รับรองกรอบหอมอร่อยไม่เลี่ยนน้ำมันแน่นอน


ส่วนผสม
  1. ขนมปังแซนด์วิชตัดขอบ หั่นชิ้นและผึ่งให้แห้ง 10 แผ่น
  2. เนื้อหมูสับ 200 กรัม
  3. รากผักชี 2 ราก
  4. กระเทียมไทยกลีบเล็ก 8 กลีบ
  5. พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
  6. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา
  7. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  8. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  9. ซอสปรุงรส ½ ช้อนชา
  10. น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
  11. ไข่ไก่ ตีพอแตก (สำหรับหมักหมู 1 ฟอง และชุบทอด 1 ฟอง)
  12. พริกชี้ฟ้าสีแดงซอยเป็นเส้นบางและใบผักชี สำหรับตกแต่ง
  13. น้ำมันพืชสำหรับทอด
  14. รับประทานคู่กับน้ำอาจาด หรือน้ำจิ้มไก่ หรือซอสพริก หรือซอสมะเขือเทศ
ส่วนผสมน้ำอาจาด
  1. น้ำส้มสายชุ ¼ ถ้วย
  2. น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย
  3. เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
  4. แตงกวา 5 ผล
  5. หอมแดง 5 หัว
  6. พริกชี้ฟ้า 1 เม็ด
วิธีทำ
  1. ตัดขอบขนมปังออกทั้งสี่ด้าน หั่นแผ่นขนมปังเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน เรียงใส่ถาด นำไปผึ่งลมหรือตากแดดเพื่อให้หน้าขนมปังแห้ง ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  2. ทำน้ำอาจาด...โดยผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำเปล่า ¼ ถ้วยลงในหม้อใบย่อมๆ สักใบ คนพอเข้ากัน จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟปานกลาง รอจนเดือด แล้วจึงปิดไฟนำออกจากความร้อน พักจนน้ำอาจาดเย็น …จึงใส่แตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงหั่นแฉลบ
  3. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทย ให้ละเอียดตักขึ้นพักไว้
  4. เตรียมหมูหมัก...เริ่มจากใส่เนื้อหมูผสมกับส่วนผสมที่โขลกไว้ ตามด้วยใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรสน้ำตาลทราย แป้งข้าวโพด และไข่ไก่ 1 ฟอง นวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน นวดจนเหนียว แล้วจึงนำเข้าตู้เย็นพักไว้ 10-15 นาที
  5. นำหมูหมักมาป้ายลงบนแผ่นขนมปังที่เตรียมไว้ (ทาไม่ต้องหนามาก เพราะถ้าทาหนาเกินไปเวลาทอดจะสุกยาก) โดยตักส่วนผสมเนื้อหมูประมาณ 1-1½ ช้อนชา ป้ายลงบนขนมปังโดยให้ตรงกลางนูนสักหน่อย วางพริกชี้ฟ้าสีแดงซอยและใบผักชีลงไปแล้วใช้มือกดเบาๆ แล้วจุ่มขนมปังด้านที่ป้ายหน้าหมูลงในไข่ไก่ 
  6. ใส่น้ำมันลงในหม้อหรือกระทะใช้ไฟปานกลาง รอให้น้ำมันร้อนก่อนจึงนำลงทอด ค่อยๆ หย่อนลงไปในกระทะ โดยนำด้านที่มีหมูลงไปก่อน ทอดจนสุกเหลืองดีแล้วค่อยพลิกกลับอีกด้าน พอเหลืองน่ากินแล้วตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่ภาชนะเสิร์ฟพร้อมกับอาจาด หรือน้ำจิ้ม หรือซอส
เคล็ดลับวิธีทำขนมปังหน้าหมูให้กรอบอร่อย ไม่อมน้ำมัน
  • เลือกซื้อเนื้อหมูบดที่มีมันปนเล็กน้อย เวลาสุกจะไม่แข็งกระด้าง
  • วิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้ขนมปังหน้าหมูไม่อมน้ำมัน คือ ใช้วิธีอบ นำเข้าเตาอบหรือไมโครเวฟตั้งไฟที่ 160 องศาเซลเซียส ประมาณ 15 นาทีหรือจนเนื้อหมูสุก ก็จะได้ขนมปังหน้าหมูที่กรอบและไม่อมน้ำมันแล้ว
  • สำหรับวิธีทอดขนมปังหน้าหมู
    • ก่อนที่จะนำขนมปังมาทำให้นำไปตัดขอบและนำไปผึ่งลมให้แห้งจริงๆ แบบแทบจะแข็งซะก่อน (เพราะจะทำให้ขนมปังที่ทอดออกมาไม่อมน้ำมันและทอดได้สีสวยเสมอกันตลอดทั้งชิ้น) โปะหมูปรุงรส ชุบไข่ ตั้งกระทะที่ไฟปานกลาง รอน้ำมันพอร้อนจึงค่อยทอด ทอดจนสุกเหลืองทั้ง 2 ด้าน ตักขึ้นผึ่งบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมันสักพักให้น้ำมันออกมากที่สุด (ไม่งั้นขนมปังก็จะอมน้ำมันมาก ทำให้ขนมปังไม่กรอบทานไม่อร่อย) เพียงเท่านี้ก็จะได้ขนมปังหน้าหมูที่กรอบนานแน่นอน
    • ปริมาณน้ำมันที่ใช้ทอดควรเยอะสักหน่อย ถ้ากลัวเปลืองก็ใช้หม้อใบเล็กๆ หรือกะทะใบเล็กๆ ก็ได้ 
  • นอกจากขนมปังหน้าหมูแล้ว เราสามารถเปลี่ยนเป็นหน้าไก่สับ หรือว่ากุ้งสับแทนก็ได้ อร่อยไปอีกแบบ ส่วนใครที่ทานมังสวิรัตอาจจะไปใช้เห็ดนางฟ้าสับแทน แต่ถ้าใช้เห็ดควรจะต้องเพิ่มปริมาณแป้งอีกสักหน่อย ไม่งั้นหน้าหมูมันจะไม่ค่อยเกาะเป็นเนื้อเดียวกันครับ

แม่นเหลือเชื่อ เลขท้ายบัตร บอกได้ว่าคุณ จะร่ำรวยหรือลำบาก

 การทำนายดวงชะตาว่าจะรวยหรือจนนั้นแม้จะหาความแน่นอนไม่ได้นักเพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นไปตามการตัดสินใจของเราด้วย แต่ว่าตัวเลขที่อยู่ติดตัวเราต...