ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แกงเลียงกุ้งสดผักรวม เมนูเพื่อสุขภาพแสนอร่อย ทำง่าย มากด้วยคุณค่า


สูตรอาหารไทย "แกงเลียง" เมนูอาหารภาคกลางอีกหนึ่งเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นแกงไทยที่มีมาแต่โบราณ มีการปรุงรสจากผักสารพัดชนิด โดยจะเน้นที่ผักมากกว่าเนื้อสัตว์ น้ำแกงที่ได้จะข้นสักหน่อย มีรสเผ็ดร้อนจากพริกไทยแต่ไม่เผ็ดจัดจนเกินไป รสชาติเค็มพอดี ออกหอมหวานนิดๆที่ได้จากผักสมุนไพรสดๆหลากชนิด ส่วนใหญ่เป็นผักพื้นบ้านหาง่าย เช่น ฟักทอง บวบ น้ำเต้าอ่อน ตำลึง หัวปลี เป็นต้น ที่มีสรรพคุณทางยาอยู่มาก และผักที่ขาดไม่ได้คือใบแมงลักซึ่งทำให้แกงเลียงมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และในใบแมงลักนี้ยังให้สารเบต้าแคโรทีน ป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วย


สำหรับสูตรที่ zabwer.com นำมาฝากนี้เป็นสูตร"แกงเลียงกุ้งสดผักรวม"ครับ รับประทานตอนร้อนๆพร้อมข้าวสวย รับรองว่าทำออกมาอร่อยมากมาย ใครไม่เชื่อก็ลองทำรับประทานดู ถ้านึกเบื่อๆไม่รู้จะทานอะไร ขอแนะนำแกงเลียงสักถ้วยแล้วจะอร่อยติดอกติดใจ นอกจากความร่อยเด็ดเฉพาะตัวของแกงเลียงแล้ว เมื่อได้รับประทานแล้วจะรู้สึกสดชื่นหูตาสว่างขึ้นมาเลยล่ะ ที่มีขั้นตอนและวิธีทำง่ายๆตามนี้...

ผักและเนื้อใส่แกงเลียง
(ไม่ต้องครบตามสูตรหรือใส่มากกว่าก็ได้ เลือกผักที่เราชอบหรือเท่าที่หาได้ ก็ทำแกงเลียงอร่อยทั้งนั้น)
  • ฟักทอง (ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ) 1 ถ้วย 
  • บวบหอมอ่อน หรือบวบเหลี่ยมอ่อน (บวบปอกเหลี่ยมออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ) 1 ถ้วย 
  • ข้าวโพดอ่อน (ปอกเปลือกเก็บฝอยปลายดอกออกให้หมดและหั่น) 1 ถ้วย 
  • เห็ดฟาง (ใช้มีดเกลาโคนและเศษดินออก ล้างน้ำ ผ่า 4 ส่วนตามยาว) 1 ถ้วย
  • เห็ดนางฟ้า (ล้างน้ำและผ่าเป็นส่วน) 1 ถ้วย 
  • ใบแมงลัก (ล้างน้ำทั้งกิ่ง เขย่าให้สะเด็ดน้ำเด็ดเป็นใบ ๆ) 2 ถ้วย
  • กุ้งสด 1 ถ้วย
  • น้ำลวกกุ้ง 6 ถ้วย
เครื่องแกงเลียง
1. กุ้งแห้ง (แนะนำให้แช่กุ้งแห้งในน้ำร้อนไว้ก่อน จะได้นิ่มโขลกง่ายๆ) ½ ถ้วย
2. เนื้อกุ้งต้ม ½ ถ้วย
3. พริกไทยเม็ด 2 - 3 ช้อนโต๊ะ (จะให้รสเผ็ดร้อนของพริกไทย…ถ้าไม่ชอบจะใส่น้อยกว่านี้ก็ได้)
4. หอมแดง 10 หัวกลาง
5. กะปิอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
6. กระชาย 3 แง่ง (ใส่เล็กน้อยเพื่อดับกลิ่นคาว จะหอมสมุนไพรเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย)
7. พริกขี้หนูสวน 5-6 เม็ด (ตามชอบ หรือใส่เล็กน้อยถ้าไม่ชอบเผ็ดมาก)

เครื่องปรุง
น้ำปลาอย่างดีสำหรับปรุงรส

วิธีทำ
1. นำผักทุกอย่างมาล้างน้ำให้สะอาดและปอกเปลือกเอาไว้ และเตรียมหั่นผักบางอย่างไว้ …ส่วนบางชนิดเช่นข้าวโพดฝักเราก็เก็บไว้หั่นตอนจะลงหม้อแกงก็ได้ หั่นเสร็จเราจะเก็บใส่ตู้เย็นไว้ก่อน (เพื่อรอสมาชิกกลับมาบ้านครบ เราค่อยนำออกมาทำก็ได้)
  • เวลาเตรียมผักลงต้ม เลือกผักที่จะใส่พร้อมกันไว้ติดๆ กัน ผักเนื้อแน่น ผักเนื้อแข็งสุกยาก เช่น ฟักทอง แตงโมอ่อน ผักเนื้อเบารองลงมาและสุกรองลงมา เช่น ข้าวโพดอ่อน บวบ ผักสุกง่ายเช่น เห็ดฟาง ถั่วฝักยาว ผักใบใส่ทีหลังสุดคือใบแมงลัก…เป็นต้น
2. ต่อไปเตรียมเครื่องแกงเลียง ให้นำทุกอย่างมาโขลกรวมกันหรือจะใช้เครื่องปั่นก็ได้ โดยเริ่มจากโขลกกุ้งแห้งก่อน ตามด้วยพริกไทย กระชาย กะปิ หอมแดง กุ้งสด และพริกสด ไม่จำเป็นต้องตำจนละเอียดยิบก็ได้

3. วิธีเตรียมกุ้งสดและน้ำซุป ดังนี้
  • กุ้งสดนำไปล้างน้ำ ปอกเปลือก แล้วใช้กรรไกรตัดหัวเอาขี้กุ้งออก ตัดขากุ้งออกด้วย และผ่าหลังแบ่งเป็น 2 ซีกดึงเอาเส้นดำทิ้งไป (ที่แคะออกด้วยไม้แหลมหรือไม้จิ้มฟัน)
  • จากนั้นเราก็จะนำกุ้งมาต้มในน้ำเดือดแค่พอกุ้งสุก (เพราะเราต้องการน้ำที่ได้จากการต้มกุ้งนี้ไปทำน้ำซุป)…โดยกรองเอาน้ำไว้ด้วย 
  • พอได้กุ้งที่สุกแล้ว เราก็จะนำมาแกะเอาเปลือกกุ้งออก แต่ยังไม่ทิ้งเปลือกกุ้ง…ถ้าสังเกตุให้ดีที่เปลือกกุ้งจะมีหัว และมันกุ้งติดอยู่…ให้นำเอาทั้งหมดนั้นมาปั่น แล้วละลายในน้ำต้มกุ้ง…และใช้กระชอนกรองเอาส่วนที่ปั่นไม่ละเอียดทิ้งไป…เราก็จะได้น้ำซุปกุ้งสุดแสนหวานมำทำแกงเลียง โดยไม่ต้องใช้ผงปรุงรสใดๆ มาช่วยเลย
4. เมื่อได้น้ำซุปกุ้งสดมาแล้วก็นำไปใส่หม้อต้มให้เดือด พอน้ำแกงเดือดใส่เครื่องแกงเลียงลงไป

5. พอน้ำแกงเดือดอีกครั้ง…ให้เตรียมผักลงใส่ตามลำดับความสุกช้า เร็ว ของผัก คือผักสุกยากใส่ก่อน ตามด้วยผักสุกง่าย

6. ปรุงรสด้วยน้ำปลาสักเล็กน้อย ต้องชิมด้วย…ระวังเค็มเกิน (เพราะในเครื่องแกงเรามีทั้งกุ้งแห้ง และกะปิแล้ว)

7. ท้ายสุดค่อยใส่ใบแมงลัก ที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงเลียงไทย…ใช้ทัพพีกดให้ใบแมงลักจมน้ำแกงให้หมด ปิดเตา พักไว้ 1 นาที คนพอทั่วก่อนตักใส่ชาม…พร้อมเสิร์ฟร้อนๆ

เคล็ดลับความอร่อย
  • แกงเลียงสามารถใส่ผักได้หลากหลายที่ล้วนเป็นผักพื้นบ้านหาได้ง่ายโดยเฉพาะที่นิยมก็เป็นพวกผักยอด ผักใบแต่ถ้าไม่มีผักตามสูตรก็ไม่เป็นไร…ใส่เป็นผักอย่างอื่นได้ทั้งนั้น …ใส่ผักกี่อย่างก็ได้ตามชอบเลยไม่เสียรสชาติ แต่ที่สำคัญคือต้องใส่ใบแมงลักด้วย เพราะให้รสชาติความหอมอร่อยเฉพาะตัวของแกงเลียง ถ้าขาดไปคงหาความสมบูรณ์ของรสแกงเลียงไม่ได้
  • ใครที่ไม่ชอบผักตามสูตรที่ให้มานี้ ก็เลือกผักต่างๆที่ตัวเองชอบได้เลย ผักที่นามาใช้ทำแกงเลียง เช่น ฟักทอง บวบหอม บวบเหลี่ยม ข้าวโพดอ่อน ใบตำลึง เห็ดฟาง เห็นางฟ้า เห็ดออรินจิ เห็ดหอม ยอดฟักแม้ว ยอดมะพร้าวอ่อน ถั่วฝักยาว ฟักข้าว น้ำเต้า หัวปลี แตงโมอ่อน ผักหวาน ดอกขจร เป็นต้น
  • แกงเลียงที่อร่อยผักจะต้องสดใหม่ จึงจะทำให้น้ำแกงหวานโดยธรรมชาติและหอมน้ำพริกแกง
  • แกงเลียงที่ใส่พริกไทยมากไปจะมีรสขมไม่อร่อย แบบที่เรียกว่า เผ็ดจนขม นั่นแหละครับ
  • ถ้าแกงเลียงสำหรับหญิงมีครรภ์ให้ใส่พริกไทย 2-3 เม็ดพอหอม เพราะพริกไทยมีฤทธิ์เผ็ดร้อนใช้มากไปแล้วแสลง ส่วนหลังคลอดใส่พริกไทยได้พอควร ไม่ใส่พริกขี้หนูเพราะจะทำให้น้ำนมแม่เสีย
  • แกงเลียงควรรับประทานขณะร้อนๆ

เรียบเรียงข้อมูลโดย : zabwer.com

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีทำขนมถ้วยตะไล 2 สูตรอร่อย ใครกินเป็นต้องขอเบิ้ล


เมื่อกล่าวถึง “ขนมถ้วยตะไล” (Steamed Pandanus Cakeหรือ kanom tuay) ที่คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เรียกว่า “ขนมถ้วย” เป็นขนมหวานไทยโบราณที่มีมาช้านานแล้ว และเหตุที่คนโบราณนั้นทำขนมใส่ในถ้วยตะไลใบเล็กหรือถ้วยกระเบื้องขนาดเล็กพอดีคำ นี่เอง จึงเป็นที่มาเรียกขนมชนิดนี้ว่า “ขนมถ้วยตะไล” ส่วนรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยขนมถ้วยมีเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นใบเตยคั้นสด หวานพอดีๆตัดกับรสเค็มมันของหน้ากะทิ ให้รสหอมหวานมัน กลมกล่อมกำลังดี ลองได้กินแล้วเป็นต้องกินอีกขอเบิ้ลอีกหลายถ้วย…และยังเป็นขนมที่ทำง่ายและวัตถุดิบก็หาได้ง่ายอีกด้วย zabwer.com จึงไม่รีรอจึงได้หาสูตรวิธีทำขนมถ้วยอร่อยๆ และเคล็ดลับดีๆมาฝากกันครับ

ขนมถ้วยเป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวจ้าว น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนด กะทิ เกลือ และใบเตยคั้นสด โดยแบ่งขนมเป็น 2 ส่วน คือ “ตัวขนม” และ”หน้าขนม” วิธีการทำคือ ผสมแป้งส่วนตัวขนมให้เข้ากันและผสมกะทิส่วนหน้าขนมให้เข้ากัน พักไว้ จากนั้นจึงนำแป้งตัวขนมที่เตียมไว้ใส่ในถ้วยตะไลประมาณครึ่งถ้วยแล้วนำไปนึ่งให้สุก แล้วจึงใส่กะทิหน้าขนมที่เตียมไว้ตามลงไป นึ่งต่อจนสุก พักทิ้งไว้รอขนมเย็น ก็พร้อมรับประทานได้แล้ว


อุปกรณ์เพิ่มเติม
  • ซึงนึ่ง
  • ถ้วยตะไล สำหรับหยอด

สูตรที่ 1

ขนมถ้วยใบเตยสูตรนี้เป็นสูตรหวาน มัน หอม กลมกล่อมพอดีเลย เป็นสูตรมาจากคุณคุณพล ตัณฑเสถียร ขนมหอม หวาน ตัวแป้งไม่แข็งด้วย หอมกลิ่นใบเตย อร่อยมากๆๆ

ส่วนผสมของตัวขนม
  • แป้งข้าวจ้าว 55 กรัม
  • แป้งถั่วเขียว 1ช้อนโต๊ะ
  • แป้งท้าวยายม่อม 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลปึก 140 กรัม. (ไม่ชอบหวานสามารถลดลงได้)
  • หางกะทิ 1 ถ้วยตวง
  • น้ำใบเตยเข้มข้น ¼ ถ้วยตวง
ส่วนผสมของหน้าขนม
  •  แป้งข้าวจ้าว 35 กรัม
  •  หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น1+1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ต้มน้ำประมาณ 1 ถ้วย พอเดือด ก็ขยำใบเตยลง ไปประมาณ 2 ใบ ต้มต่อประมาณ 5 นาที ก็จะได้ น้ำใบเตย

2. ทำตัวขนม โดยผสมแป้งทั้งสามชนิดเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลปึกและน้ำต้มใบเตยลงไป ใช้มือนวดให้แป้งและน้ำตาลละลายเป็นเนื้อเดียวกัน…ใส่กะทิตามลงไป…แล้วกรอง 1ครั้ง…พักไว้

3. ทำหน้าขนม โดยผสมส่วนประกอบทั้งหมดให้เข้ากันดี และกรอง1ครั้ง…พักไว้

4. จัดเรียงถ้วยตะไลในลังถึง นำไปตั้งไฟให้ร้อนดี…พอถ้วยร้อนจึงรีบเปิดฝาลังถึง…ใส่ส่วนผสมตัวขนมลงไป ประมาณ ¾ ของถ้วย…ปิดฝา นึ่งประมาณ 7 นาที หรือจนตัวขนมสุก (มีลักษณะผิวขนมตึง)

5. เปิดฝาลังถึง หยอดตัวหน้าขนมลงไป นึ่งต่อประมาณ 5 นาที จนสุกดี (อย่านึ่งนานไป…เพราะตัวหน้าขนมจะแตก)

6. รอให้ขนมเย็นแล้วค่อยแคะขนมออกจากถ้วย ก็พร้อมรับประทาน

สูตรที่ 2

สำหรับใครที่ไม่มีแป้งถั่วเขียว ลองทำสูตรนี้ดูนะครับ เป็นสูตรจากคุณ kanji เป็นอีกสูตรขนมถ้วยตะไลใบเตยอร่อย นุ่มๆ หอมๆ หวานมัน

ส่วนผสมตัวเนื้อขนมถ้วย
  • แป้งข้าวจ้าว 1/2 ถ้วยตวง
  • แป้งท้าว 3 ช้อนโต๊ะ
  • หางกะทิ 1 ถ้วยตวง
  • น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/4 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลปี๊ป 140 กรัม (ชอบหวานเพิ่มได้)
ส่วนผสมตัวหน้าขนมถ้วย
  • หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวจ้าว 4 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา

ขั้นตอนการเตรียมส่วนเนื้อขนม
1. นำแป้งข้าวจ้าวและแป้งท้าวใส่อ่างผสม คนให้เข้ากัน

2. จากนั้นทะยอยใส่น้ำใบเตย หางกะทิและน้ำตาลปี๊ปลงไปใช้มือนวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี (การนวดจะทำให้เนื้อขนมยืดหยุ่นนุ่มเหนียว ไม่กระด้าง) นวดไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมหมด ที่สำคัญน้ำตาลปี๊ปที่ใช้ควรเลือกแบบดีๆ ขนมของเราจะได้หอม หวาน

3. สุดท้ายจะได้ส่วนผสมเหลวๆ ออกมาแบบนี้

4. นำส่วนผสมไปกรองด้วยตะแกรงตาถี่เอาตะกอนหรือสิ่งตกค้างออก ขนมจะได้เนียนๆ…พักไว้


ขั้นตอนการเตรียมส่วนหน้าขนม
1. คราวนี้มาทำตัวหน้าขนมกันต่อ…นำหัวกะทิใส่ชามผสม ใส่แป้งข้าวจ้าวกับเกลือป่นลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี

2. นำส่วนผสมไปกรองด้วยตะแกรงตาถี่ๆ อีกครั้ง เป็นอันเสร็จ พักไว้ก่อนค่ะ

วิธีทำขนมถ้วย
1. คราวนี้ก็ถึงเวลานึ่งขนมกันแล้ว เอาน้ำใส่หม้อนึ่งเปิดไฟแรงจนเดือดรอไว้ก่อนเลย…นำถ้วยตะไลวางเรียงใส่ลังถึง…จากนั้นก็นึ่งขนมต้องนำถ้วยตะไลไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 5 นาที (จะช่วยให้ขนมไม่ตกตะกอนลงมาที่ก้นถ้วย)


2. เมื่อถ้วยตะไลร้อนได้ที่ ตักส่วนผสมตัวเนื้อขนมใส่ลงไปในถ้วย ประมาณ 3/4 ของถ้วย เวลาตักขนมใส่ลงไปให้คนด้วยตลอดเวลา (ป้องกันแป้งตกตะกอน) แล้วนำไปนึ่งในหม้อนึ่งที่น้ำเดือดไฟแรงประมาณ 7-8 นาที ขึ้นอยู่กับความหนาและปริมาณขนมในถ้วย แต่วันนี้เราใช้เวลานึ่ง 7 นาที ขนมก็สุกกำลังดี

- 7 นาที ผ่านไป ขนมของเราก็สุกได้ที่แล้ว

3. ตักส่วนผสมหน้ากะทิใส่ลงไปให้เต็มถ้วย จากนั้นผิดฝาหม้อนึ่ง แต่ก่อนปิดอย่าลืมใช้ผ้าเช็ดไอน้ำที่ติดอยู่ที่ฝาหม้อออกให้แห้ง (ไอน้ำจะได้ไม่หล่นลงไปบนหน้าขนม ทำให้ขนมเราเสียโฉม) ขั้นตอนนี้ใช้เวลานึ่ง 10 นาที

- เมื่อขนมสุกได้ที่แล้ว …จะมีลักษณะแบบรูปด้านบน

- พักไว้ให้เย็นสักนิด…แล้วจึงแคะขนมพร้อมรับประทาน ซึ่งขนมถ้วยที่ดีต้องร่อนไม่ติดถ้วย

- ขนมถ้วยที่ดี หน้าจะต้องขาวเนียน กะทิแตกมัน มีลักษณะย่นๆ ยับๆ

เคล็ดลับความอร่อย
  • ความอร่อยของขนมถ้วยใบเตยนั้น ขึ้นอยู่กับน้ำต้มใบเตยและคุณภาพของกะทิ และน้ำตาล
  • แป้งถั่วเขียว จะทำให้ขนมอยู่ตัว ไม่เหนียวมากเกินไป
  • การคั้นมะพร้าว ควรใช้มะพร้าวขูดขาวที่แก่ ขูดใหม่ๆคั้น โดยใช้มะพร้าวขูดขาว 1/2 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำอุ่น 1 ถ้วย โดยใส่น้ำอุ่นคั้นทีละน้อย คั้นสัก 1 ครั้งจะได้กะทิ 2 ถ้วย แล้วช้อนเอาหัวกะทิ 1 ถ้วย และ หางกะทิ 1 ถ้วย ขนมจะมีกลิ่นหอม รสหวาน และมีความมันของกะทิ 
  • ขนมถ้วยที่ดี หน้าจะต้องขาวเนียน กะทิแตกมัน มีลักษณะย่นๆ ยับๆ และเมื่อเวลาที่เราแคะขนม…ขนมต้องร่อนไม่ติดถ้วย
  • ขนมถ้วยที่อร่อยนั้น ตัวขนมจะมีรสหวานหอมน้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนดและไม่แข็งกระด้าง ส่วนหน้าขนมต้องมีรสมันด้วยกะทิและมีรสเค็มนิดๆ


เรียบเรียงข้อมูลโดย: zabwer.com
ที่มาสูตรและรูปภาพจาก:
พลพรรคนักปรุง 13 มกราคม 2554 สูตรของคุณพล ตัณฑเสถียร
และ คุณ kanji

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีทำลูกชุบสูตรหวานหอมอร่อย สีสันสวยงามน่าทาน


ลูกชุบ ขนมไทยมีความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่มีสีสันสวยงามหน้าตาน่ารับประทานสุดๆ และมีรสชาติหวานหอมอร่อยมากเช่นกัน ขนมลูกชุบนั้นทำมาจากถั่วเขียวกวน ปั้นเป็นรูปต่างๆ เช่น ผลไม้ ส้ม มะม่วง มังคุด ฯลฯ สีสันสวยงาม หรือจะนำมาประยุกต์ทำเป็นของหวานอื่นๆก็ได้ เช่น วุ้นลูกชุบ ตกแต่งหน้าเค้กก็น่ารับประทานยิ่ง และนอกจากรับประทานเป็นของหวานแล้ว เรายังมอบให้เป็นของฝากหรือมอบในวันเทศกาลต่างๆได้อีกด้วย


แต่จริงๆแล้ว "ลูกชุบ"เป็นขนมประจำถิ่นโปตุเกส ซึ่งแพร่หลายเข้ามาสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ถ้าเป็นขนมของโปรตุเกสนั้นเขาจะใช้เม็ดแอลมอลด์เป็นส่วนผสมสำคัญ แต่ในประเทศไทยเราไม่มีจึงใช้เป็นถั่วเขียวแทน และอีกจากข้อมูลกล่าวว่าลูกชุบ แบบชาววัง แต่เดิมไม่ได้ทำจากถั่วกวน แต่ทำจากเนื้อในของเมล็ดแตงโม กระเทาะทีละเมล็ด เอามาป่นให้ละเอียดก่อนนำมากวน แล้วจึงปั้นเป็นรูปผัก หรือผลไม้ต่าง ๆ ขนาดพอคำ ผู้คิดค้นเป็นคนแรกคือ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ส่วนผู้คิดเติมสีธรรมชาติให้ลูกชุบมีสีสันสวยงามเหมือนจริงคือ ม.ล.เติบ ชุมสาย ณ อยุธยา (ที่มาของรายละเอียดข้างบนจาก Gourmet & Cuisine 2006)...ว่าไปแล้ว คนไทยเราสมัยก่อนท่านเก่งมากนะค่ะ ที่นอกจากรังสรรค์ความอร่อยแล้ว ยังมีความคิดสร้างสรรค์ และมีความประณีตใส่ใจในอาหารมากอีกด้วย (คริๆไม่รู้เวอร์ไปหรือเปล่านะ^^)

สำหรับใครที่กำลังมองหาสูตรลูกชุบอร่อยๆอยู่ห้ามพลาดค่ะ…เพราะวันนี้ zabwer.com ได้นำวิธีทำลูกชุบสูตรอร่อยมาไว้ที่นี่แล้ว เป็นสูตรมาจากคุณ Jackie Siranya สมาชิกเฟซบุ้คโพสต์ไว้ในครัวในบ้านอาหารทำเอง เป็นสูตรหวานอร่อยกำลังดี ไม่หวานเกินไป…สูตรและขั้นตอนตามนี้ค่ะ

อุปกรณ์
1. ไม้เสียบลูกชิ้น (ขนาดเล็ก)
2. แผ่นโฟม
3. พู่กันทาสี
4. สีผสมอาหาร
5. ถ้วยสำหรับใส่สี

ส่วนผสมขนมลูกชุบ
  • ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก 4 ถ้วย
  • หัวกะทิ 1.5 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1.5 ถ้วย
  • เกลือป่น 1/2 ชช
  • น้ำตาล 1.5 ถ้วย
วิธีทำ
1. นำถั่วเขียวไปแช่น้ำ 3-4 ชั่วโมง
2. แล้วนำไปนึ่งจนสุก
3. นำถั่วไปผสมกับกะทิและน้ำเปล่าแล้วปั่นให้ละเอียด 
4. ตั้งกระทะใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน แล้วนำถั่วที่ได้ไปกวนในกะทะ 1 ชั่วโมง และใส่น้ำตาลและเกลือ
5. กวนต่ออีก 1 ชั่วโมง ด้วยไฟกลางค่อนไปทางอ่อน…จนถั่วร่อนอออกจากกะทะและจับไม่เป็นก้อน

ส่วนผสมวุ้นที่ชุบ
  • ผงวุ้น 2 ชต.
  • น้ำเปล่า 2.5 ถ้วย
  • น้ำตาล 2.5 ชต
วิธีทำ
1. นำผงวุ้นแช่ในน้ำ 20-30 นาที
2. นำขึ้นตั้งไฟคนเรื่อยๆจนเดือดแล้วใส่น้ำตาล สักพักยกลง

วิธีการปั้นลูกชุบ
1. ปั้นให้เป็นก้อนกลมๆเท่าๆกันก่อนนะคะ ประมาณเท่าเหรียญบาท 

2. หลังจากนั้นก็ปรับแต่งให้เป็นรูปทรงต่างๆ 

3. วิธีทำร่องใช้ไม้จิ้มฟันที่เราจะเสียบกด


วิธีการลงสี /ใช้สี
สามารถใช้สีน้ำผสมอาหารยี่ห้อที่ใช้คือวินเนอร์ และใช้พู่กันเบอร์ 3 หรือ 4 กรณีสีมันเข้มไปให้ผสมน้ำเจือจางค่ะ และไล่สี…ปักทิ้งไว้ให้สีแห้ง ก่อนนำไปชุบวุ้นค่ะ



วิธีการชุบวุ้น
1. เราจะชุบประมาณ 3-5 ครั้ง (ชุบซัก 3 รอบ กำลังสวยค่ะ) ซ้ำๆไปจนเงางามตามภาพ...ชุบแล้วพักไว้จนลูกชุบเย็น แล้วจึงชุบซ้ำใหม่ไปเรื่อยๆจนครบจำนวนครั้ง

2. ชุบเสร็จก็คว่ำวางเหมือนเดิม

3. หลังจากนั้นก็นำเอาลูกชุบมาถอดไม้จิ้มฟันออกและใช้มีดตัดวุ้นที่ยาวเลยออกมาตามไม้ และตกแต่งติดก้านใบได้เลย ใบที่ใช้ตกแต่งนิยมใช้ใบแก้ว 


แนะนำเพิ่มเติม
  • ถ้าเวลาปั้นเสร็จแล้วลงสี เห็นเป็นร้อยแตก…อาจเกิดจากโดนลม ดังนั้นอย่าให้ขนมโดนลม จะทำให้ขนมแตก เวลาลงสีจะไม่สวย
  • หรือจะใส่แป้งมัน 1 ช้อน ก็จะช่วยปั้นได้ง่ายขึ้น

สำหรับขั้นตอน วิธีการปั้นลูกชุบ ผลไม้แบบต่างๆ ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่:
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=peterpen&month=11-2012&date=04&group=17&gblog=7

สำหรับขั้นตอน วิธีการลงสีลูกชุบแบบต่างๆ ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่:
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=peterpen&month=11-2012&date=05&group=17&gblog=8

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีทำขนมปุยฝ้าย 2 สูตรอร่อย หอม นุ่มฟินเวอร์


ขนมปุยฝ้าย ขนมไทยหน้าตาน่ารับประทานสีหวานๆ หลากสีสันมีรูปลักษณ์ของหน้าขนมเป็นกลีบปุยฝ้ายแตกฟูสวยงาม ที่สำคัญอร่อยไม่แพ้ขนมใดๆ รสชาติออกหวานนิดๆ มีกลิ่นหอมอร่อยคล้ายดอกมะลิ และเนื้อนุ่มฟู สามารถรับประทานคู่กับชา กาแฟ ก็อ่ร่อยเข้ากันดีนัก และขนมปุยฝ้ายยังเป็นขนมมงคล ด้วยมีลักษณะเด่นคือฟู ที่สื่อถึง “ชีวิตเฟื่องฟูเจริญรุ่งเรื่อง” ” จึงขาดไม่ได้ในการไหว้พิธีต่าง ๆ ของทั้งชาวไทยและชาวจีน ที่นิยมนำไปไว้ไหว้หรือใช้ในพิธีมงคล เทศกาลต่างๆ หรือสรรหาเพื่อมอบเป็นของฝาก

จริงๆแล้ว วิธีการทำขนมปุยฝ้ายนั้นไม่ยากหรอกครับ แต่การทำให้ขนมปุยฝ้ายหวานหอมอร่อยกำลังดี เนื้อนุ่มฟูไม่ติดคอ และหน้าขนมแตกเป็นแฉกสวยงาม จำเป็นต้องมีสูตรเด็ดและเคล็ดลับเฉพาะตัว วันนี้ zabwer.com จึงได้นำวิธีทำขนมปุยฝ้ายสูตรอร่อยถึง 2 สูตรมาฝากครับ พร้อมเคล็ดลับเด็ดๆในการทำขนมปุยฝ้ายมาเสิร์ฟตรงหน้าคุณแล้ว…ใครกำลังมองหาสูตรขนมปุยฝ้ายอยู่ห้ามพลาด…กับสูตรและขั้นตอนตามนี้ครับ

อุปกรณ์หลักปุยฝ้าย
  • หม้อนึ่ง หรือลังถึง
  • เครื่องตีไข่
  • กะละมังพลาสติก
  • ถาด
  • ถ้วยตวง
  • ตาชั่ง
  • ถ้วยอะลูมิเนียม
  • ไม้พายพลาสติกบาง
  • ตะแกรงร่อนแป้ง
  • ถ้วยกระดาษ

1. ขนมปุยฝ้าย 

ขนมปุยฝ้ายสูตรอร่อยสูตรนี้ เป็นสูตรมาจากเจ๊หลี และสูตรของ UFM ทำออกมาแล้วให้รสชาติออกหวานนิดๆอร่อยกำลังดี ได้เนื้อเบานุ่มฟูไม่ติดคอ และหน้าขนมแตกเป็นแฉกสวยงาม ที่สำคัญอร่อยเป๊ะเวอร์และทำไม่ยากเลย…จะทำกินก็ได้ ทำขายก็ขายดี… กับสูตรอร่อยสูตรนี้

ส่วนผสมขนมปุยฝ้าย (สูตรนี้ทำได้ประมาณ 16-20 ถ้วยกระดาษมาตรฐาน)
  • แป้งบัวแดง 200 กรัม
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • ไข่ไก่สด (ที่อุณหภูมิห้อง) 2 ฟอง
  • น้ำ 100 กรัม
  • น้ำตาล 180 กรัม
  • SP 10 กรัม
  • นมข้นจืด 50 กรัม
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  • กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา
  • สีผสมอาหาร(ตามชอบ) เล็กน้อย
วิธีทำ (ทำเหมือนสปันจ์เค็กเลยครับ)

ก่อนอื่นเตรียม…น้ำเปล่าใส่ซึ้ง 3ใน 5 ของลังถึงนำไปตั้งบนเตารอไว้ก่อนเลย และเตรียมพิมพ์ ถ้วยกระดาษไว้ด้วย

1. ร่อนแป้ง กับผงฟูเข้าด้วยกัน…พักไว้

2. นำไข่ไก่ น้ำตาล และน้ำใส่โถตี และป้ายเอสพีที่หัวตะกร้อ…ตีด้วยความเร็วสูงสุด ประมาณ 4-5 นาที (ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องและไข่ไก่ใหม่หรือเก่าด้วย) ให้สังเกตุดูที่ส่วนผสมเป็นหลัก…ตีจนกระทั่งข้นเหนียวขาวเนียน…...คือใช้ไม้พายควักแล้วไม่หยด เพราะถ้าส่วนผสมไม่ข้นขนาดนี้ เวลานึ่งหน้าจะไม่แตก
*** ตรงจุดนี้ (เปิดเตาด้วยไฟสูงสุดรอไว้เลย…เพื่อตั้งไฟให้น้ำเดือดจัดๆ) ***

3. ลดความเร็วเป็นต่ำสุด…แล้วทยอยเติมแป้งลงไป ให้ส่วนผสมกับแป้งเข้ากัน (ถ้ากลัวฟุ้งก็เอาพายคนๆก่อนก็ได้) ประมาณ 1 นาที

4. ตามด้วยเติม (นมข้นจืด + น้ำมะนาว + กลิ่นมะลิ) ลงไป…แล้วเปลี่ยนเป็นตีด้วยความเร็วสูงสุด ประมาณ 4-5 นาที (แล้วแต่ว่าอยากให้แป้งออกมาเนื้อนิ่มมากน้อยแค่ไหน) …และตีด้วยความเร็วต่ำอีก 1 นาที เพื่อไล่ฟองอากาศ

5. นำส่วนผสมมาแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อใส่สีตามชอบ (ควรใส่สีทีละหยด สีที่นึ่งออกมาแล้วจะเข้มกว่าสีที่เราเห็นตอนผสมมาก) …คนส่วนผสมให้เข้ากัน

6. เตรียมถ้วยกระดาษ (เบอร์ตามต้องการ) จากนั้นตักแป้งขนมใส่กระทงกระดาษที่รองด้วยพิมพ์อะลูมีเนียม…ตักให้เต็มถ้วยแต่ไม่ต้องล้น (ตกแต่งด้วยลูกเกด/มิ๊กซ์ฟรุต…ถ้ามี)

7. เตรียมรังถึง โดยนำผ้าขาวบางห่อฝาไว้ เพื่อกันไม่ให้น้ำหยดใส่หน้าขนม ตรวจดูน้ำ…ให้ด้านล่างใส่น้ำ 3/5 ของลังถึง และตั้งน้ำใช้ไฟแรงจนน้ำเดือดพล่านแล้ว จากนั้นจึงวางปุยฝ้ายลงไปในซึ้ง…เสร็จแล้วปรับเป็นไฟอ่อนๆ ทันที (หรี่ไฟให้อ่อนๆให้เหลือแค่น้ำเดือดปุดๆ) ใช้เวลานึ่งประมาณ 15 นาที…จนสุก พักขนมให้เย็นบนตะแกรงให้เย็นสนิท จัดเสิร์ฟ

2.ปุยฝ้ายมะพร้าวอ่อน

ปุยฝ้ายมะพร้าวอ่อนสูตรนี้หอมอร่อยมากเช่นกัน อีกสูตรหนึ่งของวิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล อร่อยนุ่มหอมน้ำมะพร้าว ทานแล้วไม่ติดคอ เป็นสูตรมาจากคุณ Boong_b สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีขั้นตอนการทำที่ง่ายไม่ยุ่งยาก ที่สำคัญต้องหอมหวานอร่อย…เป็นอีกสูตรที่อยากแนะนำ

ส่วนผสม
  • แป้งเค้ก ( พัด / ริบบิ้น ) 250 กรัม
  • ผงฟู 2 ช้อนชา
  • น้ำตาล 250 กรัม
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • เอสพี 20 กรัม
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
  • น้ำมะพร้าว 1 100 กรัม
  • น้ำมะพร้าว 2 100 กรัม
  • เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 200 กรัม

วิธีทำ

1. ต้มน้ำให้เดือดรอไว้

2. ร่อนแป้ง ผงฟู รวมกันพักไว้

3. ตีส่วนผสม น้ำมะพร้าว 1+ไข่ไก่+น้ำมะนาว+เอสพี +และน้ำตาลทราย…ตีด้วยความเร็วสูงสุด 5 นาที
3.1.เมื่อตีครบ 5 นาทีแล้ว…ให้สังเกตุดูที่ส่วนผสมเป็นหลัก คือตีจนกระทั่งส่วนผสมขึ้นฟูข้นเหนียว ดังรูป (ถ้าตีส่วนผสมเหลวเกินไป…จะทำให้หน้าขนมไม่แตกฟู)

4. ใส่แป้งสลับกับน้ำมะพร้าว 2 จนหมด…ตีความเร็วสูงสุดอีก 1 นาที

5. ใส่เนื้อมะพร้าว คนผสมให้เข้ากัน พักไว้ 10 นาที

6. รอให้น้ำในซึ้งเดือดจัด ตักใส่ถ้วย 

7. พอตั้งบนเตาให้เบาไฟอ่อนๆ นึ่งไฟอ่อน 10 นาทีเสร็จ…รอให้เย็น

เคล็ดลับการทำขนมปุยฝ้ายให้หน้าแตกสวย

1) ทุกครั้งที่จะตักแป้งหยอดลงพิมพ์ รอบต่อไปคนๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วค่อยตักหยอด เพราะส่วนผสมอาจจะนอนก้น

2) เริ่มตั้งแต่การหยอดขนมใส่พิมพ์ ต้องหยอดให้เต็มถ้วยแต่ไม่ต้องล้น…ขนมจะแตกมากและฟูสวย และการวางเรียงใส่ซึงนึง อย่าวางแน่นจนเกินไป…เว้นให้มีพื้นที่ไอน้ำขึ้นมาด้วย

3) ตั้งซึ้งใส่น้ำ 3 ใน 5 ของรังถึง น้ำในลังถึงต้องเดือดพล่านซะก่อน จากนั้นพอวางปุยฝ้ายลงไปค่อยหรีไฟให้อ่อนๆ…ถ้าใช้เตาแก๊สแม่บ้านทั่วไปก็หรี่ให้ไฟอ่อนๆ ให้เหลือแค่น้ำเดือดปุดๆ (เบาแต่ก็ยังเหลือเปลวไฟวงรอบนอกด้วยโดยเปลวไฟสูงประมาณ 1/2 ซม.) ก็จะแตกสวย…นึ่งประมาณ 15 นาทีกำลังดี

4) ฝารังถึงควรหาผ้าขาวบางมาห่อเพื่อกันไอน้ำหยดลงหน้าขนม

5) ถ้าใช้เตาแก๊สทั่วไป …เวลานึ่งขนมควรจะใช้ซึงนึ่งชั้นเดียวเสมอ เพราะจะได้ปุยฝ้ายหน้าแตกเป็นเฉกสวยกว่านึ่งสองชั้น

6) หากนึ่งหลายถาด…ทุกครั้งที่เปลี่ยนซึ่งนึ่งรอบต่อไป เพิ่มน้ำให้ได้ 3 ใน 5 ของรังถึง แล้วให้น้ำเดือดพล่านอีกครั้ง จึงวางปุยฝ้ายลงไปนึ่ง แล้วรีบหรี่ไฟอ่อนๆ…คือทำแบบนี้ตลอด ทุกซึ้งที่ขึ้นนึ่ง ไม่เช่นนั้นขนมจะแตกบ้าง ไม่แตกบ้าง หรือแตกไม่เต็มได้

ขอขอบคุณรูปภาพจาก: http://pantip.com/topic/30124987

แนะนำเพิ่มเติมอื่นๆ
  • ไข่ไก่ใช้เป็นไข่สด/ใหม่และควรใช้ไข่เบอร์ 2…ขนมจะขึ้นฟูและหน้าแตกได้ง่ายกว่า
  • การร่อนแป้งจะทำให้แป้งเบาขึ้น หรือไม่ก็นำไปตากแดด 
  • เวลาตีแป้ง ควรตีไปทางเดียวกัน อย่าตีย้อนไปย้อนมา เพราะส่วนผสมจะละเอียดไม่เท่ากัน และต้องตีด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอกัน
  • การผสมสีควรผสมสีอ่อนๆ เพราะสีขนมจะเข้มขึ้นอีก…เมื่อนึ่งเสร็จ
  • การตีไข่ควรใช้หัวตีรูปตะกร้อ
  • เอสพี เป็นส่วนผสมที่ผลิตเพื่อใช้ในขนม ที่เราต้องการฟองมาก ๆ เช่น สปันจ์เค้ก แยมโรล และ ขนมปุยฝ้าย ส่วนผสมของเอสพี มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ช่วยทำให้เกิดฟองได้ดี และช่วยให้ฟองอยู่ตัว นอกจากนั้นยังช่วยให้ปริมาตร ขนมใหญ่ขึ้นและช่วยให้ขนม นุ่ม และสด นานขึ้น
  • คุณสมบัติของปุยฝ้ายที่ดี คือ ต้องสีอ่อน แตก 3-5 แฉก และไม่มีน้ำหยดลงหน้าขนม
สำหรับใครที่ทำขนมปุยฝ้ายแล้วหน้าขนมไม่แตกฟู ก็ลองนำเคล็ดลับการทำขนมปุยฝ้ายที่เราได้เรียบเรียงไว้ใน zabwer.com ไปลองทำตามดูนะครับ รับรองว่าถ้าทำปุยฝ้ายรอบนี้….หน้าขนมต้องแตกฟูสวยแน่นอนครับ (^_^)


เรียบเรียงข้อมูลโดย zabwer.com
ที่มาข้อมูลและภาพประกอบจาก:
เจ๊หลี สมาชิกเว็บไซต์บล็อกแก๊งดอทคอม
คุณ Boong_b สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
และ pantip.com/topic/30124987

แม่นเหลือเชื่อ เลขท้ายบัตร บอกได้ว่าคุณ จะร่ำรวยหรือลำบาก

 การทำนายดวงชะตาว่าจะรวยหรือจนนั้นแม้จะหาความแน่นอนไม่ได้นักเพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นไปตามการตัดสินใจของเราด้วย แต่ว่าตัวเลขที่อยู่ติดตัวเราต...