ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ข้าวผัดกระเพราหมูสับ 2 สูตรเด็ด


ผัดกระเพรา อีกเมนูอาหารตามสั่งจานเดียว ยอดฮิตที่มักนิยมสั่งรับประทานตามร้านอาหาร เมื่อไม่รู้จะทานอะไร ก็จะสั่งข้าวผัดกระเพราะเอาไว้ก่อน เป็นเมนูอาหารที่รสชาติเผ็ดร้อน หอมใบกระเพรา อร่อยแซ่บถูกปากสไตล์อาหารไทย แถมเป็นเมนูอาหารที่ทำได้ง่าย แต่จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้นก็เอยู่ที่ฝีมือของแต่ละคน วันนี้ zabwer.com จึงขอนำสูตรเด็ดเคล็ดลับวิธีทำข้าวผัดกระเพราหมูสับ 2 สูตรอร่อยมาฝากครับ จะได้ทำข้าวผัดกระเพราหมูสับได้อร่อยน่าทานยิ่งขึ้น หมูนุ่มๆ รสหอมอร่อยแซ่บถูกปากถูกใจ ที่มีสูตรและขั้นตอนตามนี้ครับ

1. ผัดกระเพราะหมูสับ
ส่วนผสม (สำหรับ 3 ที่)
  1. เนื้อหมูส่วนสันใน หรือส่วนสะโพกสับหยาบ 300 กรัม
  2. พริกขี้หนูหรือพริกชี้ฟ้า 20-30เม็ด (ชอบเผ็ดน้อยใส่ 20 เม็ด หรือใส่เพิ่มตามชอบเผ็ด)
  3. กระเพราเด็ดใบ 1 ถ้วย
  4. กระเทียมสับ 1-2 ช้อนโต๊ะ
  5. ซีอิ๊วขาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
  8. น้ำเปล่านิดหน่อย
  9. น้ำมันสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
  1. กระทะตั้งด้วยไฟกลางใส่น้ำมันเล็กน้อย พอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมสับและพริกขี้หนูสับลงไปผัดให้หอม พอพริกกระเทียมเริ่มหอมฉุน ก็ใส่หมูสับลงผัด ยีให้หมูกระจายไม่ติดเป็นก้อน ผัดจนหมูเกือบสุก ถ้าแห้งไปก็ให้เติมน้ำเล็กน้อย
  2. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ
  3. พอหมูในกระทะสุกแล้วก็ใส่ใบกะเพราลงไปผัดเร็วๆคลุกเคล้าให้เข้ากัน…ปิดไฟ ตักใส่จานเสิร์ฟร้อนๆ ยิ่งทอดไข่ดาวรับประทานด้วย แค่นี้ก็อร่อยสุดๆแล้วครับ

สูตรและรูปภาพจากคุณ kanyong1 สมาชิกเว็บบล็อกแกงค์ดอทคอม
2.ผัดกระเพราะหมูสับแบบดั้งเดิม (อร่อย)

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
  1. เนื้อหมูสับหยาบ 200 กรัม
  2. กระเพราเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย
  3. พริกขี้หนูสีแดงบด 2 ช้อนโต๊ะ
  4. กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำมันหอย 1 ช้อนชา
  6. น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  8. น้ำหรือน้ำสต๊อกหมู 1/4 ถ้วย
  9. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  10. พริกน้ำปลา
วิธีทำ
  1. ตั้งกระทะให้ร้อนโดยใช้ไฟแรง ใส่น้ำมันพืชแล้วตามด้วยหมูสับ ผัดยีหมูสับให้แตกออกจากกัน อย่าให้เป็นก้อน แค่เกือบสุกจึงใส่พริกขี้หนูบด ผัดพอให้ทั่ว ตามด้วยกระเทียมเจียว ผัดพอให้ทั่ว 
  2. เติมน้ำมันหอย น้ำตาล น้ำปลา และน้ำซุป ผัดพอสุกทั่ว แล้วใส่ใบกระเพรา ผัดให้ใบกระเพราสุกแล้วปิดไฟ ตักใส่จานหรือตักราดกับข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟกับพริกน้ำปลา

เคล็ดลับวิธีทำผัดกระเพราให้อร่อย

  • ควรเลือกใช้เนื้อหมูสันนอก หรือหมูสันนอก+สามชั้น เนื้อหมูจะนุ่มไม่กระด้าง
  • สิ่งสำคัญคือ ความหอมของใบกระเพรา ให้เลือกกะเพราใบเล็กและมีดอกติดมาด้วยเท่านั้น เพราะจะให้กลิ่นหอมมากกว่ากระเพราใบใหญ่…แต่ถ้าจะให้ดีเลือกเป็นใบกะเพราแดงได้จะดีมาก (แต่สมัยนี้หาไม่ค่อยได้แล้ว) เพราะหอมเยอะกว่ากระเพราขาว (ก็คือใบเขียวๆ อย่างที่เห็นทั่วไปตามท้องตลาดนั่นละ)
  • ควรเลือกใช้เป็นพริกขี้หนูสวนเพราะหอมกว่า หรืออาจจะใส่พริกขี้หนูสวนลงไปก่อน และตามด้วยพริกขี้หนูแดง ( ที่ใช้ตำส้มตำ ) ก็ได้ ก็จะผัดได้หอมฉุยเช่นกัน
  • ควรเลือกใช้เป็นกระเทียมไทยกลีบเล็ก เพราะมีกลิ่นหอมมากกว่ากระเทียมกลีบใหญ่
  • ซอสปรุงต่างยี่ห้อกันรสชาติก็ต่างกันแล้ว ดังนั้นควรเลือกที่คุณภาพค่อนข้างดี

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รวมสูตรเมนูอาหารง่ายๆ ประเภทอาหารซีฟู๊ด อาหารทะเล

เมนูอาหารง่ายๆ ที่ทาง zabwer.com นำมาแนะนำวันนี้ เป็นเมนูอาหารซีฟู๊ด (Seafood) หรือเมนูอาหารทะเลนั้นเอง ที่สามารถทำทานเองได้ง่ายๆ ที่บ้านหรือที่ทำงาน มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นเมนูกุ้ง ปลาหมึก หอย ปู ปลา คัดสรรมาครบทุกเมนู และที่สำคัญคือเป็นสูตรอาหารที่ทำง่ายๆ จริงๆ ลองไปทำดู แต่ที่สำคัญอร่อยแซ่บเวอร์แน่นอน จะมีเมนูอาหารทะเลอะไรบ้างไปดูกันเลย


เมนูอาหารทำง่าย ประเภทอาหารซีฟู๊ด Seafood

1. กุ้งผัดเกลือกระเทียม

photo: jin leng @pantip.com 
สูตรอาหาร : กุ้งผัดเกลือกระเทียม
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
  • กุ้งสด 10 ตัว 
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ 
  • แปงทอดกรอบ  ½ ถ้วย
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา 
  • ต้นหอมซอย 2 ต้น 
  • พริกชี้ฟ้าแดงสับ  3 เม็ด
  • น้ำมันพืช 2-3 ช้อนโต๊ะ 
วิธีทำ
  1. กุ้งแกะเปลือก เก็บหางไว้ ผ่าหลัง ดึงเส้นดำออก 
  2. หมักกุ้งด้วยซอสปรุงรสแมกกี้นิดหน่อย พริกไทย น้ำตาล เล็กน้อย  นำมาคลุกแป้งทอด
  3. นำกุ้งที่หมักไว้ทอดในน้ำมันไฟแรงจัด ไม่ต้องทอดนาน กุ้งจะแข็งเหนียว พอสุกแล้วตักขึ้น 
  4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใช้ไฟปานกลาง เจียวกระเทียม ผัดจนสุกเหลือง ใส่กุ้งที่ทอดไว้ลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ ใส่ต้นหอม พริกชี้ฟ้า ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน จัดใส่จานกับข้าวสวยร้อนๆ 

2. ลาบปลาหมึก
สูตรอาหาร : ลาบปลาหมึก
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
  • ปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่ 2-3 ตัว 
  • ผักชีฝรั่งซอย 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ต้นหอมซอย 3 ต้น
  • หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ 
  • พริกขี้หนูแห้งคั่วป่น 2 ช้อนชา 
  • ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำปลา 1.5 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบสะระแหน่ 
วิธีทำ
  1. ล้างปลาหมึก ผ่าครึ่งตัวตามยาว ล้างให้สะอาด บั้งเป็นตาราง หั่นชิ้นพอคำ นำไปลวกกับน้ำเดือด จนสุก ตักใส่ใส่ชามไว้
  2. ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว พริกป่น และข้าวคั่ว คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรส ใส่หอมแดง ผักชี ต้นหอม ใบสะระแหน่ เคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน

3. ข้าวผัดปู
สูตรอาหาร :  ข้าวผัดปู
เครื่องปรุงและส่วนผสม (สำหรับ 2 ที)
  • ข้าวสวย 2 ถ้วยตวง
  • เนื้อปูนึ่งแกะเป็นชิ้น 1 ถ้วยตวง
  • หอมใหญ่หั่นแว่น 1/2 ลูก 
  • ต้นหอมซอย 1 ต้น
  • แครอทหั่นเล็กๆ 
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • กระเทียมสับ 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ซิอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
  • ซ๊อสปรุงรส 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น ½ ช้อนชา
  • แตงกวาหั่นเป็นชิ้น, มะนาวหั่น , ต้นหอม 3 ต้น  (ทานเป็นผักแกล้ม)
วิธีทำ
  1. ตั้งกระทะไฟแรงปานกลาง ใส่น้ำมันถั่วเหลืองเล็กน้อย และผสมเนยเพื่อให้หอม พอเนยละลาย ใส่กระเทียมลงไปผัดจนเหลืองหอม 
  2. ใส่ไข่ไก่ที่ตีให้เข้ากันในถ้วยไว้แล้วลงไป ใช้ตะหลิวยีไข่ จากนั้นใส่ข้าวสวยลงไปผัดให้เข้ากัน
  3. ใส่หัวหอมใหญ่, เนื้อปู แครอทซอย และต้นหอมซอย ลงไปผัดคลุกเคล้ากัน ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว, ซ๊อสปรุงรสและน้ำตาล ผัดให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน จึงปิดไฟ
  4. ตักใส่จาน เหยาะพริกไทยโรยหน้านิดหน่อย เสริฟทันทีขณะร้อนพร้อมแตงกวา, ต้นหอม, มะนาวและพริกน้ำปลา

4. ยำดอกขจรกุ้งสด
สูตรอาหาร : ยำดอกขจรกุ้งสด
ส่วนผสม
  • กุ้งสด 6-7 ตัว (หรือตามชอบ) นำมาล้าง แกะเปลือก ผ่าหลัง 
  • หมูบด 150 กรัม (จะใส่หรือไม่ต้องใส่ก็ได้) 
  • ดอกขจร 200 กรัม (หรือตามชอบ) ตัดเป็นช่อเล็กๆ ล้างน้ำ 
  • ต้นหอม 1-2 ต้น นำมาล้างและหั่นตามชอบ
  • มะเขือเทศ 2 ลูก (จะใส่หรือไม่ต้องใส่ก็ได้) นำมาล้าง และหั่นตามชอบ
  • หอมแดงซอย 4-5 หัว 
  • พริกขี้หนู 4 เม็ด หั่นซอย เตรียมไว้
เครื่องปรุงรสน้ำยำ ได้แก่
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำปลา 1.5 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลปี๊บ 1.5 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้น้ำตาลทรายก็ได้)
วิธีทำยำดอกขจรกุ้งสด
  1. นำกุ้งสด หมูบด ดอกขจร ลวกในน้ำเดือด พอสุก นำแช่น้ำเย็นพอคายร้อน พักให้สะเด็ดน้ำ
  2. ทำน้ำยำ โดยนำ น้ำมะนาว น้ำปลา ซีอิ้วขาว น้ำตาลปี๊บ พริกขี้หนู มาเทใส่รวมกันในภาชนะ ตักชิมรสตามชอบ 
  3. นำกุ้งลวกสุก หมูบดลวก ดอกขจร หอมแดงซอย ต้นหอมหั่น มะเขือเทศหั่น ใส่รวมกันในภาชนะ ราดด้วยน้ำยำ คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง โรยด้วยถั่วลิสงคั่ว ตักใส่จาน พร้อมเสริฟ

5. ชะอมผัดกุ้ง
credit: gourmetandcuisine.com
สูตรอาหาร :  ชะอมผัดกุ้ง
ส่วนผสม (สำหรับ 2-3 ที่) 
  • ยอดชะอมรูดเอาแต่ยอด 100 กรัม หรือประมาณ 3 ถ้วยน้ำพริก
  • กุ้งสด 200 กรัม 
  • กระเทียม 5 กลีบ 
  • พริกขี้หนูสวน 5 เม็ด 
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ (ใช้ซอยหอยนางรม 2 ช้อนชา แทนได้  )
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา 
  • เต้าเจี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด  2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
  1. ล้างกุ้งสด แกะเปลือก เด็ดหัว ผ่าหลังเอาเส้นดำออก ล้างให้สะอาด พักไว้ ทุบพริกขี้หนูและกระเทียมพอแหลก พักไว้
  2. นำใบชะอมใส่ชาม เติมเต้าเจี้ยว น้ำมันหอย น้ำตาลทราย คลุกเคล้าเล็กน้อย พักไว้
  3. ตั้งกระทะน้ำมันไฟปานกลางให้ร้อน ใส่พริกขี้หนูกับกระเทียมลงไปผัดให้หอม 
  4. ใส่กุ้ง ผัดต่อพอสุก เร่งไฟแรง ใส่ใบชะอมกับเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงไปผัดพร้อมกัน ผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรง พอผักได้ที่ ตักใส่จาน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ

6. ปลานึ่งซีอิ๊ว
photo: Poifhai@Thailand
สูตรอาหาร : ปลานึ่งซีอิ๊ว
ส่วนผสม
  • เนื้อปลา 300 กรัม
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอย 3 ต้น
  • กระเทียม 3 กลีบ (หั่นเป็นชิ้นบางๆ)
  • ขิงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกชี้ฟ้าแดงซอย 2 เม็ด
  • น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา
  • น้ำมันงา 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ทำน้ำปรุงรส โดยผสมซีอิ๊วขาว น้ำตาล น้ำมันงา และพริกไทย เข้าด้วยกัน พักไว้
  2. จัดเนื้อปลาใส่จานสำหรับนึ่ง ราดด้วยน้ำปรุงรส โรยต้นหอม ขิง กระเทียมหั่น และพริกชี้ฟ้าอย่างละครึ่ง นำไปนึ่งในน้ำเดือดโดยใช้ไฟแรงประมาณ 15 นาทีหรือจนสุก ยกลง
  3. เวลาเสิร์ฟโรยต้นหอม ขิง กระเทียมหั่น และพริกชี้ฟ้าที่เหลือ เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมข้าวต้มหรือข้าวสวย

7. ปลาหมึกผัดฉ่า
สูตรอาหาร : ปลาหมึกผัดฉ่า
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
  • ปลาหมึกสด 300 กรัม หั่นพอดีคำ
  • พริกขี้หนูเขียว แดง อย่างละ 3 เม็ด 
  • พริกชี้ฟ้าเหลืองหั่น 1 เม็ด 
  • กระชายซอย 1/4 ถ้วย 
  • ใบกะเพรา 1/4 ถ้วย 
  • พริกไทยอ่อน 2 ช่อ 
  • ใบมะกรูดฉีก 3-4 ใบ 
  • กระเทียม 3 กลีบ 
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ 
  • ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
 วิธีทำ
  1. โขลกพริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า และกระเทียมเข้าด้วยกันพอแหลก ผัดกับน้ำมันให้หอม ใส่ปลาหมึก ผัดพอสุก
  2. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ผัดพอทั่ว ใส่กระชาย ใบกะเพรา และพริกไทยอ่อน ผัดพอทั่ว ตักใส่จาน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ 

8. ปลาอินทรีย์ทอดยำมะม่วง
ปลาอินทรีย์ทอดยำมะม่วง เนื้อปลาทอดกรอบ กับยำมะม่วงเข้ากันสุดๆ
สูตรอาหาร : ปลาอินทรีย์ทอดยำมะม่วง
ส่วนผสม (สำหรับ 3 ที่)
  • เนื้อปลาอินทรีย์
  • พริกขี้หนูซอย 6 เม็ด 
  • หอมแดงซอย
  • มะม่วงเปรี้ยวสับ 
  • ถั่วลิสงคั่ว (ถ้ามี)
  • น้ำปลา 
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำตาลทราย
  • น้ำมะนาว 
  • เกลือ 
วิธีทำ
  1. นำเนื้อปลาที่หั่นเป็นชิ้นๆ ผสมน้ำปลา ¼ ถ้วย และน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา เข้าด้วยกัน แช่เนื้อปลาไว้ประมาณ 15 นาที
  2. ผึ่งเนื้อปลาบนตะแกรงให้แห้ง แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนจนเหลืองทั้งสองด้าน ตักขึ้น พักให้สะเด็ดน้ำมัน ใส่จานไว้
  3. นำน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บผสมเข้าด้วยกัน ยกตั้งไฟอ่อนๆ คนให้น้ำตาลปิ้บละลายดี ยกลงทิ้งไว้จนเย็น จากนั้นค่อนๆ เติมน้ำมะนาว พริกซอย หอมซอย มะม่วงสับ และถั่วลิสงคั่ว จะราดไปที่ชิ้นปลา โรยด้วยผักชี เป็นอันเสร็จ

9. ผัดพริกหวานกุ้งพริกไทยดำ
photo; choieka.blogspot.com
สูตรอาหาร : ผัดพริกหวานกุ้งพริกไทยดำ
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
  • กุ้งกุลาดำ 5-6 ตัว 
  • พริกหวาน 3 สี หั่นชิ้นพอดีคำ อย่างละ 1/4 เม็ด 
  • หอมหัวใหญ่หั่นเป็นชิ้น  ½  หัว 
  • ต้นหอมหั่นท่อน 1 ต้น 
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ 
  • ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ 
  • พริกไทยดำป่นหยาบ 2 ช้อนชา 
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำตาลทรายขาว  1/2 ช้อนชา 
วิธีทำ
  1. ล้างกุ้ง แกะเปลือก เก็บหางไว้ ผ่าหลัง ดึงเส้นดำออก
  2. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมัน เจียวกระเทียมพอหอม ใส่กุ้ง ผัดพอสุก ใส่พริกหวาน หัวหอมใหญ่ซอย ต้นหอม ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรมและซอสปรุงรส น้ำตาลทราย ผัดคลุกเคล้าพอทั่ว ใส่พริกไทยดำ ผัดให้เข้ากัน
  3. ตักใส่จาน เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

10. ยำหอยแครง
สูตรอาหาร : ยำหอยแครง
ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
  • หอยแครง
  • ตะไคร้ซอยบาง 2 ช้อนโต๊ะ 
  • หอมแดงซอย 3 หัว 
  • ใบมะกรูดซอย 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบสะระแหน่
  • ต้นหอมซอย 
  • ส่วนผสมน้ำยำ
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำปลา 1.5 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา 
  • พริกขี้หนูซอย 6 เม็ด 
วิธีทำ
  1. แช่หอยแครงในน้ำเกลือเพื่อให้หอยคายดินก่อน แล้วล้างน้ำให้สะอาด
  2. นำหอยแคลงไปลวกในน้ำเดือดจัดประมาณ 7-10 นาที เนื้อหอยจะสุกพอดี หรือสังเกตว่าไม่มีฟองอากาศออกจากตัวหอย
  3. เตรียมน้ำยำโดยผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล และพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน ชิมรส ตามชอบ
  4. ผสมเนื้อหอยแครง ใบมะกรูด ตะไคร้ ต้นหอม และหอมแดง คลุกกับน้ำยำให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรยใบสะระแหน่ (ถ้ามีมะม่วงสับจะยิ่งดีเพิ่มดีกรีความแซ่บ) 
ครบแล้วกับ 10 เมนูอาหารทำง่ายๆ ประเภทอาหารซีฟู๊ด Seafood ไว้เดี่ยวทาง zabwer.com จะมาแนะนำ เมนูอาหารซีฟู๊ดชุดที่ 2 ในครั้งหน้า รับรองอร่อยแซ่บเวอร์เช่นเดิม

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อาหารตามสั่ง สูตรข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย


หมูทอดกระเทียมพริกไทยราดข้าว หรือ ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย เป็นเมนูอาหารตามสั่งจานเดียว อีกเมนูอหารที่นิยมสั่งทานกันมาก เพราะอร่อยและได้เร็ว ด้วยน้ำขลุกขลิกเนื้อหมูนุ่มๆไม่แข็ง หอมกระเทียมพริกไทย รสชาติเค็มหวานกลมกล่อม และเป็นเมนูอาหารทำง่ายๆ ที่สามารถทำทานเองได้สบายๆในครอบครัว วันนี้ zabwer.com มีเมนู ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย มาฝาก ที่สำคัญนั้นอร่อย ทำง่ายมากๆ แถมใช้เวลาแปบเดียว!!



หมูทอดกระเทียมพริกไทยราดข้าว

เครื่องปรุง (สำหรับ 1-2 ที่)
  1. เนื้อหมูส่วนสะโพกหั่นชิ้นพอคำ 150 กรัม 
  2. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ 
  3. ซือิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 
  4. พริกไทยป่น 1 ช้อนชา 
  5. น้ำมันพืชหรือน้ำมันงา (สำหรับใส่ลงไปคลุกกับหมู) 1 ช้อนชา 
  6. กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ 
  7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา 
  8. น้ำปลา 
  9. ซีอิ๊วดำชนิดหวาน นิดหน่อยเพิ่มสีสัน 
  10. แตงกวาหั่นแว่น 
วิธีทำ
  1. หมักเนื้อหมูกับ น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น และน้ำมันงา (หรือน้ำมันพืช) ใส่ถ้วยผสมรวมกันนวดอย่างเบามือให้เข้ากัน พักไว้ 30 นาที 
  2. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืช 1-2 ช้อนโต๊ะ พอร้อนใส่เนื้อหมูที่หมัก ผัดให้สุกทั่ว เขี่ยไว้ข้างกระทะ…แล้วใส่กระเทียมสับลงไปผัดเมื่อหอมดีแล้ว เกลี่ยหมูกับกระเทียมผัดให้เข้ากันกัน…ถ้าชอบแบบขลุกขลิกก็เติมน้ำเปล่าไปนิด 1-2 ช้อนโต๊ะ…ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและน้ำปลา ใส่ซีอิ้วดำเล็กน้อยเพื่อสีสันที่สวยงาม ชิมรสให้เค็มและหวาน คลุกเคล้าให้เข้ากัน…ปิดไฟ 
  3. ตักราดข้าวสวย โรยกระเทียมเจียวที่แบ่งไว้ เสิร์ฟกับแตงกวา 
เคล็ดลับ
  • เนื้อหมูใช้ส่วนไหนก็ได้ครับ เช่น ถ้าไม่ชอบไขมันก็ใช้เนื้อส่วนสะโพก เนื้อสันใน ก็ได้ แต่ถ้าชอบติดมันหน่อยก็ใช้หมูสันคอ หั่นหมูตามขวางเป็นชิ้นพอคำไม่หนาและบางเกินไป 
  • การหมักหมูกับเครื่องปรุงรสและพริกไทย ทำให้หมูทอดมีรสชาติอร่อยยิ่งขึ้น ถ้าแช่ตู้เย็นหมักข้ามวันก็ได้ยิ่งดี หรือถ้าเร่งด่วนก็หมักหมูกับเครื่องปรุง ค่อยๆนวดอย่างเบามือให้เข้ากันสักครู่ก็นำลงทอดเลยก็ได้ครับ 
  • น้ำมันพืชหรือน้ำมันงาที่ใส่ลงไปตอนหมักหมูเพื่อช่วยทำให้หมูนิ่ม

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สูตรไข่ลูกเขย ยางมะตูมสามรส เมนูอาหารทำง่ายๆ อร่อยเลิศ

ไข่ลูกเขย (Egg with Tamarind Sauce) เป็นเมนูอาหารทำง่ายๆ สูตรอาหารไทย อีกเมนูไข่ที่อร่อยเด็ดอีกจานที่โปรดปรานของคนที่ชอบรับประทานรสหวาน หลักการคือนำไข่ต้มไปทอดให้เหลืองสวย นำมาผ่าครึ่งแล้วราดด้วยซอสเปรี้ยวหวานข้นเหนียว ที่สำคัญไข่ลูกเขยอาหารจานนี้อร่อยมาก มีรสชาติออกเปรี้ยวนำจากมะขามเปียก ตามด้วยหวานจากน้ำตาล และรสเค็มจากน้ำปลา บวกกับพริกซึ่งเผ็ดสุดๆ ไล่มาด้วยกลิ่นหอมแดงเจียวกรอบหอมหวานที่ใช้โรยหน้าในขั้นตอนสุดท้าย อะไรจะอร่อยเท่าไข่ลูกเขยนั้นไม่มีอีกแล้ว วันนี้ zabwer.com จึงขอนำสูตรเด็ดเคล็ดลับวิธีทำไข่ลูกเขยยางมะตูมสามรส มาฝากครับ วิธีทำนั้นก็ง่ายไม่ยุ่งยาก แถมอิ่มอร่อยทั้งบ้านในราคาประหยัด รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี เด็กกินหวานๆ ไม่ต้องกินพริก ส่วนผู้ใหญ่ใส่พริกไปหน่อยอร่อยเลิศ


ไข่ลูกเขยสูตรที่ 1
ส่วนประกอบ
  • ไข่ไก่ 4 ฟอง 
  • มะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมแดง (ไทย เลือกหัวใหญ่จะได้ซอยง่าย ) ประมาณ 5 หัว
  • พริก (ขี้หนูแห้ง) ทอด 5-10 เม็ด (ปริมาณตามชอบ)

ไข่ลูกเขยสูตรที่ 2
ส่วนประกอบ
  • ไข่ไก่ต้มสุก 6 ฟอง
  • น้ำตาลปี๊บ 100 กรัม
  • น้ำปลา 1/3 ถ้วยตวง
  • น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง
  • พริก (ขี้หนูแห้ง) ทอด15 เม็ด
  • หัวหอมซอยทอด 1/2 ถ้วยตวง
  • ผักชีสำหรับแต่งหน้า
วิธีต้มไข่
ถ้าต้องการต้มไข่ยางมะตูม ให้เอาไข่ใส่หม้อพร้อมกับใส่น้ำลงไปด้วย ให้น้ำท่วมไข่ แล้วนำไปตั้งเตาจุดไฟ จับเวลา 7 นาที (แต่ถ้าอยากได้ไข่ต้มสุกธรรมดาก็จับเวลา 10 นาที)…แต่ถ้าเรานำไข่ใส่ลงไปต้มตอนที่น้ำเดือด ก็ใช้เวลาต้ม 5 นาทีพอ…เมื่อครบเวลาแล้วปิดไฟ จากนั้นรินน้ำออกจากหม้อและใส่น้ำเย็นลงไปแทนเพื่อน็อคไข่ไว้ให้นิ่ง ถ้าจะให้ชัวร์แช่ไว้ 10 นาที (เพื่อไม่ให้ไข่เปลี่ยนสีได้เป็นไข่ยางมะตูมสุกกำลังดี และเปลือกไข่แกะได้ง่ายอีกด้วย)…พอครบเวลาให้นำไข่มาแกะเปลือกใส่น้ำ (เพื่อไม่ให้เปลือกไข่ติดมากับไข่ต้ม)

วิธีทำไข่ลูกเขย
1. เมื่อเตรียมไข่ต้มเสร็จแล้ว…ให้เตรียมวัตถุดิบอื่นๆดังนี้
  • เริ่มด้วยเตรียมหอมแดง…นำหอมแดงมาปอกเปลือกและล้างน้ำให้สะอาด นำไปใส่ตะแกรงสะเด็ดน้ำให้แห้งสักนิดนึง แล้วนำไปซอยให้เสมอกัน (เวลาเจียวจะได้สุกทั่วถึง)…จากนั้นนำหอมไปเจียวให้เหลืองกรอบ (ถ้าหอมเจียวสุกกำลังดี จะหวานมากๆ)
  • นำพริกแห้งไปทอดให้กรอบ 
  • ให้นำไข่มาทอดให้สวยน่ารับประทานดังนี้ ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปกะให้ท่วมไข่ …และที่สำคัญคือต้องรอให้น้ำมันร้อนซะก่อนแล้วจึงหรี่เป็นไฟอ่อน จากนั้นจึงนำไข่ต้มใส่ในตะแกรงแล้วนำลงไปทอดในกระทะ…และตอนทอดไข่ต้องเขย่าตะแกรงตลอดเวลาด้วย (เพื่อทำให้ความสุกของผิวไข่เวลาทอดสม่ำเสมอกัน) ที่ใช้เวลาทอดประมาณ 1-2 นาที…สุกแล้วตักขึ้น พักสะเด็ดน้ำมัน และวางลงบนภาชนะที่รองด้วยกระดาษซับความมันพักไว้
2. มาทำน้ำราดไข่ลูกเขยกันเลย เริ่มจากนำน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำไปคลุกเคล้าให้น้ำตาลละลายและส่วนผสมเข้ากันดีซะก่อน จากนั้นจึงนำไปตั้งไฟปานกลางและคนให้เข้ากันอยู่เสมอ…เคี่ยวต่อจนน้ำซอสข้นข้นเหนียวเล็กน้อยจึงยกลงจากเตา

3. วิธีผ่าไข่ให้เรียบสวย…ให้นำเรานำมีดคมๆ (ทาน้ำมันที่มีดสักหน่อยก็ได้) มากรีดลงไปที่ไข่ก่อนสักนิดนึง (ใช้มีดนำร่องก่อน) จากนั้นจึงใช้ด้ายรูดผ่าครึ่งไข่เป็น 2 ซีก…ก็จะได้ไข่ผ่าซีกผิวเรียบสวยแล้ว

4. ให้นำไข่ผ่าซีกไปเรียงลงในภาชนะที่ต้องการ แล้วตักน้ำราดซอสไข่ลูกเขยที่ทำไว้มาราดลงไปบนไข่ และตกแต่งด้วยผักชี หอมเจียวหอมกรอบ และพริกทอด…ก็จะได้ไข่ลูกเขยพร้อมเสิร์ฟแล้ว

เคล็ดลับความอร่อย

  • เมนูไข่ลูกเขย ถ้าจะทำให้อร่อยควรใช้เป็นไข่เป็ดเท่านั้น… เนื่องด้วยน้ำราดซอสไข่ลูกเขยจะอร่อยกลมกล่อมเข้ากันดีกับไข่เป็ดซึ่งมีความคาวมากกว่าไข่ไก่
  • ·การเจียวหอมแดงให้สีสวยกรอบอร่อย คือให้ตั้งกระทะใช้ไฟกลางใส่น้ำมันพืชลงไป…รอให้น้ำมันเริ่มอุ่นๆสักหน่อยไม่ถึงกับร้อนจัด จึงค่อยใส่หอมซอยลงไป…แล้วก็หมั่นคนไปเรื่อยๆ พอหอมเริ่มมีสีเหลืองและบางส่วนเกือบๆจะเหลืองก็หรี่ไฟลงหน่อยและหมั่นคนไม่งั้นไหม้…พอนึกในใจว่า"ทอดอีกซักหน่อยก็จะเหลืองพอดี" ก็ให้ดับไฟทันที ช้อนขึ้นใส่กระชอนตาโปร่งๆ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน (เนื่องจากว่าหอมมันไหม้ง่าย ไม่ต้องรอให้หอมเหลืองอร่ามจนเป็นสีทองในกระทะแล้วค่อยตักขึ้น เพราะถ้าทำอย่างนั้นพอทิ้งไว้สักพัก หอมมันจะสีเข้มขึ้นจนเหมือนหอมเจียวไหม้ ทำให้ได้สีไม่สวย) 
  • วิธีทอดพริกแห้งให้กรอบนาน คือ ตั้งกระทะเปิดไฟ ใส่น้ำมันไม่ต้องเยอะ รอให้น้ำมันอุ่นๆก่อน จึงใส่พริกแห้งลงไป และหยิบเกลือสักหยิบมือนึงใส่ลงไปด้วย ใช้ตะหลิวคนไปมาสักแป๊บก็จะได้พริกสีเข้มขึ้นและกรอบ…ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน…แล้วพอเย็นก็เอาใส่ถุงมัดปากให้แน่น (ก็จะได้พริกแห้งทอดกรอบนาน)
  • วิธีการทอดไข่ลูกเขย
    • เวลาทอดจะใส่น้ำมันเยอะ (ท่วมไข่) หรือน้อย (ความสูงประมาณครึ่งลูกไข่) ก็ได้ทั้งนั้น...และจะใช้น้ำมันที่ทอดหอมกระเทียมมาทอดไข่ก็ได้ ไข่ทอดจะได้มีกลิ่นหอมกระเทียมไปด้วย…ถ้าใช้น้ำมันเยอะ (ก็จะช่วยให้ไข่มีสีสวยเสมอกันดี) แต่ถ้าใช้น้ำมันน้อยให้หมั่นพลิกกลับบ่อยๆ ไข่จะได้เหลืองทั่วกัน 
    • หากชอบด้านนอกของไข่ที่พองๆ ให้ใช้ไฟค่อนข้างแรงสักหน่อยครับ (มีข้อควรระวัง... อย่าใช้ไฟแรงมากเพราะจะทำให้ไข่ต้มของเราเป็นไข่ระเบิดได้ เพราะอาจทำให้กระเด็นโดนหน้าเราได้) แต่ถ้าชอบผิวไข่แบบเรียบๆ ก็ใช้ไฟปานกลางค่อนมาทางอ่อนนิดนึงก็พอ…หมั่นคนบ่อยๆ จนไข่เหลืองสวยทั่วกัน…ใช้เวลาทอดประมาณ 1-2 นาที
  • ถ้าน้ำซอสราดไข่ลูกเขยเหลือ สามารถใส่ขวดปิดฝาให้สนิทเก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายวัน เก็บไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้
  • นอกจากนี้ สามารถประยุกต์ใช้ไข่ดาวแทนไข่ต้มก็ได้ ถ้าต้องการทานแบบด่วนๆ…การใช้ไข่ดาวแทนจะไวกว่ามาก แต่ก็อร่อยไปอีกแบบครับ

เรียบเรียงข้อมูลโดย: zabwer.com

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กล้วยบวชชี 2 สูตรอร่อย พร้อมเคล็ดลับวิธีทำกล้วยบวชชีไม่ให้ฟาด



กล้วยบวชชี หรือ กล้วยบวดชี (Banana in Coconut Milk) สูตรขนมไทยขนมหวานที่โปรดปรานของใครหลายคน ด้วยความหอมหวานอร่อยกลมกลมของน้ำกระทิและน้ำตาล บวกกับความอร่อยของกล้วยน้ำหว้า นี่ช่างลงตัวอร่อยหวานเข้ากันดีนัก…จริงๆแล้วกล้วยบวชชีเป็นสูตรขนมไทยที่ทำง่ายมากๆครับ ใครที่ยังไม่เคยทำกล้วยบวชชีรับประทานต้องลองทำดูนะไม่ยากเลย ทำเองได้เยอะเต็มที่ รับประทานได้อิ่มอร่อยสะใจกว่าที่ซื้อเขาเยอะเลย ถ้ากินไม่หมดก็สามารถเก็บแช่ตู้เย็น แล้วค่อยนำมาอุ่นกินวันหลังได้ครับ ยิ่งหากใครปลูกกล้วยน้ำหว้าเอาไว้ที่บ้าน นึกไม่ออกว่าจะนำกล้วยไปทำเมนูอะไร zabwer.com ก็ขอแนะนำด้วยเมนูขนมไทย กล้วยบวชชีสูตรอร่อย พร้อมเคล็ดลับวิธีทำกล้วยบวชชีไม่ให้ฟาดมาฝากกันครับ ที่มีสูตรขั้นตอนตามนี้เลย


1. กล้วยบวชชีสูตรอร่อยทำง่ายๆ
กล้วยบวชชีสูตรนี้ทำง่ายและอร่อย รับรองไม่ผิดหวัง เป็นสูตรของแม่สลิ่มสมาชิกเว็บบล็อกแกงค์ดอทคอม มีสูตรวิธีทำตามนี้ครับ

ส่วนผสม
  1. กล้วยน้ำว้า 1 หวี...(ที่ซื้อมามี 16 ลูก ถ้าเลือกกล้วยเหลืองมาก ๆ กล้วยบวดชีที่ได้จะเละค่ะ แล้วแต่ความชอบนะคะว่าชอบกล้วยแข็งมากน้อยขนาดไหน)
  2. น้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง
  3. หัวกะทิจากถุง 2 + 1/2 ถ้วยตวง
  4. น้ำตาลทราย 1 + 3/4 ถ้วยตวง
  5. เกลือป่น 2 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ปอกเปลือกกล้วย ผ่ากล้วยแต่ละลูกเป็น 4 ชิ้น
  2. เอาหัวกะทิใส่หม้อ 1 ถ้วยตวง เติมน้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง
  3. ยกหม้อตั้งไฟกลาง ๆ ให้พอกะทิเดือด
  4. ใส่กล้วยลงไปต้มให้สุก คนเป็นระยะ ใช้วิธีชิมเอาก็ได้ค่ะว่ากล้วยนิ่มขนาดไหนแล้ว
  5. กล้วยสุกแล้วใส่น้ำตาลทรายและเกลือ ให้น้ำตาลทรายและเกลือละลายให้หมด ชิมตามชอบ
  6. น้ำตาลทรายและเกลือละลายหมดแล้วใส่หัวกะทิที่เหลือ 1 + 1/2 ถ้วยตวง ตั้งไฟพอเดือด ปิดเตาค่ะ ถ้าตั้งนานกะทิจะแตกมันมากเป็นลูก ๆ แล้วแต่ความชอบ

2. กล้วยบวชชีใส่มะพร้าวอ่อนขูด

อีกสูตรกล้วยบวชชีอร่อยสูตรนี้ใส่มะพร้าวขูดด้วย แต่เราจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามชอบ...ที่ทำออกมาแล้วก็อร่อยเหมือนกันครับ เป็นสูตรจากอาหารบ้านนุ้ย มีขั้นตอนวิธีทำตามนี้เลย

ส่วนผสม
  1. กล้วยน้ำหว้าสุก 2 หวี
  2. น้ำหัวกะทิ 300 กรัม
  3. น้ำหางกะทิ 700 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 500 กรัม 
  5. เกลือ 2 ช้อนชา
  6. มะพร้าวอ่อนขูด 200 กรัม (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้อยู่ที่ชอบ)
วิธีทำกล้วยบวชชี
  1. เลือกกล้วยน้ำหว้าสุกพอประมาณ ไม่สุกจนเกินไปถ้าสุกเกินไปเวลาต้มจะทำให้กล้วยเละ แต่ถ้าดิบเกินไปจะทำให้ฝาด ถ้ากล้วยฝาดให้นำไปต้มให้สุกแล้วพักไว้
  2. ผ่ากล้วย 1 ลูกให้ได้ 4 ชิ้น โดยผ่ากลางกล้วย 1 ครั้งและแบ่งครึ่งอีก 1 ครั้ง 
  3. เตรียมน้ำกะทิ แบ่งออกเป็นหางและหัวกะทิ
  4. ต้มกะทิส่วนหางจนกระทั่งร้อนแต่ต้องไม่เดือด มิเช่นนั้นกะทิจะแตกมัน
  5. เมื่อน้ำเริ่มร้อนจัดให้ใส่กล้วยลงไปต้ม
  6. ต้มจนกระทั่งกล้วยนิ่มแต่ไม่เละนะครับ จากนั้นก็เติมน้ำตาล เกลือ ชิมรสตามชอบ 
  7. ต้มจนน้ำตาลเกลือละลายหมดแล้วให้ราดหัวกะทิ คนพอเข้ากัน 
  8. เทมะพร้าวขูด ปิดไฟ
ลักษณะกล้วยน้ำหว้าห่ามๆ 


เคล็ดลับวิธีการทำกล้วยบวดชีให้อร่อยไม่ให้ฟาด

  1. กล้วยที่เหมาะที่จะใช้ทำกล้วยบวชชีที่สุดคือ กล้วยน้ำหว้าเลือกหวีห่ามๆ…ที่มีสีเหลืองเจือเขียวเล็กน้อย…เมื่อนำไปบวชชี กล้วยจึงจะไม่ฝาดและไม่เละ 
  2. ได้กล้วยมาแล้วนำไปล้างให้สะอาดทั้งหวี เพื่อป้องกันฝุ่นจากเปลือกลงไปติดเนื้อกล้วย…แล้วปอกเปลือก ผ่าครึ่งผลตามยาวและหั่นตามขวางเป็นแว่น…จากนั้นให้ต้มน้ำสะอาดเตรียมไว้รอจนน้ำเดือดพล่าน…แล้วจึงใส่กล้วยที่เตรียมไว้ลงไป…รอสักพักเพื่อให้กล้วยคายยางออกจะได้ไม่ฝาด…ตักชิ้นกล้วยขึ้นชิม…หากไม่มีรสฝาดแล้วตักขึ้นจากหม้อ…นำลงแช่ในอ่างน้ำเย็นจัดหรือน้ำผสมน้ำแข็งเย็นจัดทันที (เพื่อให้กล้วยรัดตัว คงรูปสวย เมื่อนำไปต้มกับกะทิจะได้ไม่เละ) 
  3. คั้นกะทิด้วยมะพร้าวขูดขาวกับน้ำเปล่าให้ได้กะทิกลาง ใส่ลงหม้อกะปริมาณให้พอท่วมกล้วยทั้งหมด…ขอให้คุณใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงในกะทิแล้วคนให้ละลาย…ชิมรสให้หวานและเค็มตามชอบใจเสียก่อน จึงค่อยยกหม้อขึ้นตั้งไฟกลาง (ย้ำนะครับว่าชิมรสให้เรียบร้อยก่อนแล้วถึงค่อยยกหม้อขึ้นตั้งไฟ)…พอกะทิเดือดให้ตักกล้วย (จากข้อ 2) ขึ้นพักสะเด็ดน้ำสักครู่…แล้วจึงใส่ลงในหม้อกะทิ…รอจนกระทั่งให้เดือดอีกครั้ง...จึงปิดไฟ ตักใส่ถ้วยรับประทานได้ทันที
    แนะนำเพิ่มเติม
    • ถ้าเลือกกล้วยอื่นๆใช้ทำกล้วยบวชชี...ควรเลือกใช้ตามนี้
    1. ถ้าเป็นกล้วยไข่หรือกล้วยหอม ต้องเลือกแบบแก่จัดและเปลือกเริ่มเหลือง (กล้วยที่เปลือกมีสีเขียวมากกว่าเหลือง)…แต่ถ้าใช้กล้วยสุกเหลือง นำไปบวชชีเนื้อจะเละ 
    2. ถ้าเป็นกล้วยหักมุกต้องสุกเต็มที่…แต่ไม่งอมจนเกินไป
    • สำหรับใครที่ไม่อยากใส่กะทิ…ลองเปลี่ยนเป็นนมสด แล้วลดน้ำตาลลง ก็รสชาติดีไม่เบานะครับ ส่วนเรื่องความหวาน หวานมาก หวานน้อย ปรับลด-เพิ่มได้ตามชอบเลยครับ
    • สำหรับการทำขนม…ควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้กะทิสำเร็จ เพระความหอมต่างจากใช้กะทิคั้นเองอย่างมากมาย
    • วิธีแก้กรณีทำแล้วกะทิเป็นลูก...คือให้เติมกะทิกล่อง(ไม่ต้องต้ม)ใส่ลงไป 2-300 มล.จะได้กล้วยบวชชีเป็นเนื้อเดียวกันไม่แยกชั้น
    จริงๆแล้ว สูตรกล้วยบวชชีไม่ยุ่งยากเลยคล้ายๆกัน…ส่วนผสมมีไม่กี่อย่าง ก็ได้ขนมไทยแสนอร่อยมารับประทานแล้ว…ยังไงก็ลองนำเคล็ดลับทำกล้วยบวดชีไม่ให้ฟาด ที่ได้แนะนำไว้นี้ไปลองทำดูนะครับ แล้วจะรู้ว่ากล้วยบวชชีถ้วยนี้มีสีขาวน่ารับประทานและรสชาติหวานอร่อยกลมกล่อมปราศจากรสฝาดอีกด้วย

    สูตรโดย: แม่สลิ่ม สมาชิกเว็บบล็อกแกงค์ดอทคอม และ nuihome.com

    วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

    ราดหน้าหมูหมัก 2 สูตรเด็ด พร้อมเคร็ดลับการหมักหมูให้อร่อย

    ราดหน้าหมูหมัก (Noodles in Thick Gravy) อีกหนึ่งเมนูอาหารจานดียวที่เป็นที่นิยม ด้วยความอร่อยนุ่มของเนื้อหมูหมักที่หมักมาเป็นอย่างดี ผนวกเข้ากับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่นุ่มหนึบหรือเส้นหมี่กรอบและน้ำราดหน้าอันกลมกล่อม ทานร้อนๆ อร่อยแซ่บเวอร์จนต้องขอเบิ้ลอีกจาน วันนี้ zabwer.com ก็ได้นำขั้นตอนและวิธีทำอย่างละเอียดของสูตรราดหน้าหมูหมัก 2 สูตร พร้อมเคล็ดลับความอร่อยมาฝาก  ซึ่งทำง่าย และที่สำคัญรสชาติต้องอร่อยเด็ดแน่นอน


    สำหรับผักหลักๆ ที่มักปรุงเป็นราดหน้าหมูหมักนั่นก็คือผักคะน้า ซึ่งคะน้าเป็นผักที่มีวิตามินหลายชนิด เช่น มีเบต้าแคโรทีนสูง มีสรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูก นับว่าเป็นผักที่อุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย ใครที่ไม่ชอบกินผักคะน้าลองหันมารับประทานเมนูราดหน้าหมูหมักอร่อยๆนี้ดู ไม่แน่คุณอาจจะหลงรักผักคะน้าขึ้นมาก็ได้^^ อย่างไรก็ตามท่านที่ไม่ชอบผักคะน้า อาจใส่ผักอื่นแทนก็ได้ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ผักหวาน ผักกาดขาว กวางตุ้ง ข้าวโพดอ่อน เป็นต้น อร่อยแถมได้สุขภาพที่ดีด้วย ทั้งนี้นทั้งนั้นควรเลือกใช้ผักที่ปลอดสารพิษ ปลอดยาฆ่าแมลงด้วยนะคะ


    ราดหน้าหมูหมัก สูตรที่ 1
    ราดหน้าหมูหมักรสอร่อยเด็ดสูตรนี้ เป็นสูตรมาจากคุณ Pinang Malaysia สมาชิกเว็บบล็อกแกงค์ดอทคอมที่มีรสชาติราดหน้าหมูหมักออกเข้มข้นนิดหน่อย รสอร่อยกำลังดีแทบไม่ต้องเติมอะไรเลย ซึ่งได้บอกวิธีทำเอาไว้อย่างละเอียดตามนี้

    ส่วนผสม
    1. ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 1 กิโลกรัม
    2. ผักคะน้าต้นกลาง (นำไปปอกเปลือกและหั่นเฉียง)850 กรัม
    3. ซีอิ๊วดำ
    4. น้ำ 1.5 ลิตร
    5. พริกไทยขาวป่น
    6. เครื่องปรุงรสมี น้ำส้มพริกดอง(พริกชี้ฟ้าหั่นแว่นดองน้ำส้มสายชู) พริกป่น น้ำปลา และน้ำตาลทราย
    ส่วนผสมหมักหมู
    1. หมูส่วนสันนอกใกล้สันคอ (จะมีมันแทรกอยู่) 500 กรัม
    2. พริกไทป่น 2 ช้อนชา
    3. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
    4. น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
    5. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
    6. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ (เด็กสมบูรณ์สูตรหนึ่ง)
    7. น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ (ตราแม่ครัว)
    8. ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา (ภูเขาทอง)
    9. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
    10. ผงฟู ¼ ช้อนชา (แป้งใส่ Baking Soda)
    (ผงฟูปรับสูตรตามนี้ ที่ขึ้นอยู่กับวิธีหั่นหมู 2 แบบ คือ…1) หากหั่นชิ้นพอคำก็ใส่ 1/4 ช้อนชาตามสูตร..2) แต่หากหั่นชิ้นใหญ่หนา รีบใช้ก่อนให้เพิ่มเป็น 1/2 ช้อนชา…ถ้าหากหมักข้ามคืน หมูที่ได้จะนุ่มเด้งมากๆ เหมือนตามร้านดังๆเลย)
    ** ข้อควรระวัง อย่ากลัวหมูไม่นิ่มแล้วเพิ่มผงฟู (baking Soda)…ไม่อย่างนั้นรสชาดจะเฝือนมากๆ…หากไม่นุ่มโดนใจให้ลองเอามาต้มหรือผัดสักนิดก่อน…ไม่พอก็ค่อยเพิ่มนะ

    ส่วนผสมน้ำราดหน้า (เข้มข้น)
    1. กระเทียมบุบสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
    2. เต้าเจี้ยว 3 ช้อนโต๊ะ
    3. น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ + 1 ช้อนชา
    4. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ+ 1 ช้อนชา
    5. ซีอิ๊วขาว 5 ช้อนโต๊ะ
    6. น้ำมันหอย 4 ช้อนโต๊ะ
    7. ไข่ไก่ ตีพอแตก1 ฟอง
    8. แป้งมัน ½ ถ้วยตวง + น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง (ละลายและคนให้เข้ากันดี)
    9. น้ำเปล่า 1.5 ลิตร ( 8 ถ้วยตวง) (ต้มให้เดือด หรือร้อนจัด)
    วิธีทำราดหน้าหมูหมัก
    1. ทำหมูหมักโดยเคล้าเนื้อหมูกับเครื่องปรุงทั้งหมดนวดให้เครื่องปรุงซึมเข้าเนื้อ เสร็จแล้วใส่กล่องนำเข้าตู้เย็นหมักไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือถ้าแช่ข้ามคืนจะอร่อยมากขึ้น

    2. หั่นมาเตรียมผัก เริ่มด้วยนำคะน้ามาปลอกเปลือกและหั่นเฉียง แล้วนำไปลวกและช็อกผักคะน้าพอกรอบ พักไว้...วิธีลวกผักให้กรอบอร่อยมี 2 วิธีคือ
    1. ตั้งน้ำให้เดือด ใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย ใส่ผักลงไปคนให้ทั่ว ตักขึ้นใส่แช่ในน้ำแข็ง หรือน้ำเย็นจัดสักพัก…ตักขึ้นพักไว้ในตระกร้า ให้สะเด็ดน้ำ
    2. วิธีลวกผักก็เหมือนที่เราลวกผักทั่วๆไปคือ เติมเกลือในน้ำและตั้งน้ำให้เดือดจัด ใส่ผักลงไปคนให้ทั่ว เพื่อรักษาสีผัก เมื่อลวกเสร็จแล้วตักขึ้นใส่แช่ในน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัดสักพัก เพื่อให้ผักหยุดสุก…ตักขึ้นพักไว้ในตระกร้า ให้สะเด็ดน้ำ 
    3. ผัดเส้นใหญ่ที่ใช้เส้นใหญ่ 1 กิโล…ลอกเส้นใหญ่ไม่ให้จับตัวกันเป็นปึก…และเคล้าซีอิ๊วดำเล็กน้อยพอให้มีสีน้ำตาลนิดๆ จากนั้นตั้งกระทะให้ร้อนจัดมากๆ ใส่น้ำมันพืชลงไป (ร้อนจนเมื่อใส่น้ำมันลงไปแล้วควันขึ้นจะดีมาก)…นำเส้นใหญ่ลงไปผัด…ใช้ตะหลิวสองอันเกลี่ยเส้นในกระทะจนทั่วกันดี…จะเห็นเส้นเดือดปุดๆ…เมื่อระอุทั่วดีแล้ว…ปิดไฟ ตักใส่อ่างผสม
    4. ทำน้ำราดหน้า…ให้ทำตามขั้นตอนที่บอกไว้โดยละเอียดด้านล่างนี้นะครับ^^
    5. จัดเส้นใหญ่ผัดใส่จาน วางคะน้า ราดด้วยน้ำราดหน้าโรยพริกไทยป่น เสิร์ฟร้อนๆกับเครื่องปรุงรส


    วิธีทำน้ำราดหน้า
    1. เตรียมต้มน้ำ 1.5 ลิตรไว้ก่อน จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช…เมื่อร้อนดีแล้วใส่กระเทียมลงไปไม่ต้องรอให้เหลืองตามด้วยเต้าเจี้ยวและเนื้อหมู ค่อยๆผัด ไม่ต้องลดไฟใช้ปานกลางค่อนไฟแรง…หากข้างกระทะมีสีน้ำตาลอ่อน ให้ใส่น้ำที่ต้มไว้ลงไปทีละ ¼ ถ้วย …ราดข้างๆกระทะ (เพื่อที่กระทะจะไม่ไหม้) ผัดจนหมูสุกประมาณ 30%
    2. ใส่น้ำร้อนที่เหลือลงไปทั้งหมด ใส่เห็ดที่ลวกแล้วตามลงไป…เติมเครื่องปรุงรส
    3. เมื่อเดือดให้ค่อยๆใส่แป้งมันที่ละลายไว้แล้วลงไป…คนแรงและเร็วเพื่อให้แป้งกระจายตัว ไม่เกาะกันเป็นก้อน (อย่าลืมคนแป้งมันที่ผสมไว้ในถ้วยให้ละลายดีก่อนเทลงกระทะนะคะ)
    4. รอให้เดือดอีกครั้งใช้มือที่ไม่ถนัดยกชามไข่ที่ตีไว้ให้สูงเหนือกระทะ…เทลงไปเป็นสายเล็กๆ…ใช้มือที่ถนัดจับตะหลิวคนในกระทะเป็นวงกลมเร็วๆทำจนไข่หมด…คนให้ข้นเหนียว…รอให้เดือดอีกครั้งปิดไฟ…ยกลงพร้อมเสิร์ฟ (หากใช้น้ำธรรมดาที่ไม่ใช่น้ำเดือดหรือน้ำร้อน…จะทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าน้ำในกระทะจะเดือดอีกครั้งซึ่งจะทำให้หมูที่เราผัดไว้แล้วโดนเคี่ยวนานอาจจะกระด้างได้นะครับ)


    ราดหน้าหมูหมัก สูตรที่ 2
    อีกสูตรราดหน้าหมูหมัก สูตรนี้ทำง่ายรสชาติอร่อยถูกปากแน่นอน มีสูตรและวิธีทำดังนี้

    ส่วนผสม (สำหรับ 2 คน)
    1. ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 300 กรัม
    2. น้ำมันหอย 1/2 ช้อนโต๊ะ
    3. คะน้าต้นกลางหั่นชิ้นพอคำผัดน้ำมัน 250 กรัม
    4. พริกไทยขาวป่น 1/2 ช้อนชา
    5. เครื่องปรุงรสมี น้ำส้มพริกดอง(พริกชี้ฟ้าหั่นแว่นดองน้ำส้มสายชู) พริกป่น น้ำปลา และน้ำตาลทราย
    ส่วนผสมหมูหมัก
    1. เนื้อหมูส่วนสันนอกหั่นชิ้นบาง 200 กรัม
    2. แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
    3. ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
    4. ซอสปรุงรส 1/2 ช้อนโต๊ะ
    5. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
    6. น้ำมันงา 1/2 ช้อนโต๊ะ
    7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    8. พริกไทยขาวป่น 1/4 ช้อนชา
    9. ไข่ขาวไข่ไก่ 2 ช้อนโต๊ะ
    10. น้ำ 1/4 ถ้วย
    ส่วนผสมน้ำราดหน้า
    1. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
    2. กระเทียมไทยสับ 1 ช้อนโต๊ะ
    3. เต้าเจี้ยวบด 1 ช้อนโต๊ะ
    4. น้ำซุปหมู 21/2 ถ้วย
    5. หมูหมัก 200 กรัม
    6. ซอสปรุงรส น้ำมันหอย อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ
    7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
    8. แป้งมัน แป้งเท้ายายม่อม อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ
    วิธีทำราดหน้าหมูหมัก
    1. ทำหมูหมักโดยเคล้าเนื้อหมูกับเครื่องปรุงทั้งหมดนวดให้เครื่องปรุงซึมเข้าเนื้อ หมักไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดานานข้ามคืน
    2. ตั้งกระทะบนไฟแรงจนร้อนจัด ใส่น้ำมันปริมาณเล็กน้อย กลอกให้ทั่วกระทะ แล้วตักออก ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงคั่วให้ทั่ว ใส่น้ำมันหอย ผัดคั่วจนเส้นมีสีน้ำตาล และเกรียมเล็กน้อย…ปิดไฟ ตักใส่อ่างผสม
    3. ทำน้ำราดหน้าโดยตั้งกระทะบนไฟกลาง ใส่น้ำมันและกระเทียมลงเจียวพอเหลือง ใส่เต้าเจี้ยว ผัดพอหอม ใส่น้ำซุปหมู เคี่ยวให้เดือด ใส่หมูหมัก…คนพอสุก…ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส น้ำมันหอย น้ำตาล คนให้ทั่วและเดือด ชิมรสละลายแป้งมันและแป้งเท้ายายม่อมกับน้ำเล็กน้อย…ค่อยๆเทใส่ลงในน้ำราดหน้าให้เป็นสาย…คนให้ข้นเหนียว…ปิดไฟ
    4. จัดเส้นใหญ่ผัดใส่จาน วางคะน้า ราดด้วยน้ำราดหน้าโรยพริกไทยป่น เสิร์ฟร้อนๆกับเครื่องปรุงรส

    เคล็ดลับวิธีทำราดหน้าหมูหมักให้อร่อย

    1. การหมักหมูแต่ละแบบขึ้นอยู่กับประเภทของอาหารที่ต้องการปรุง และเนื้อส่วนที่ใช้ และอาจจะมีกลิ่นหรือรสของสิ่งที่ใช้หมักอยู่จางๆ ดังนี้
    • หมักด้วยไข่และนมจะให้ผลคล้ายๆกัน คือ เนื้อหมูจะนุ่มและดูชุ่มชื้น เหมาะกับหมักเนื้อในส่วนที่ไม่มีไขมัน หรือ มีมันน้อย เช่น เนื้อสัน
    • หมักด้วยสับปะรดและเบียร์จะให้ผลคล้ายกัน คือ เนื้อจะนุ่มแบบอ่อนนุ่มแต่เนื้อที่ได้จะแห้งกว่าหมักด้วยไข่หรือนม เหมาะจะหมักกับเนื้อส่วนที่มีเส้นใยมากๆ (ส่วนที่จะเนื้อแน่นและแข็ง) แต่พอจะมีมันปนอยู่บ้าง เช่น เนื้อสะโพก 
    • สำหรับการหมักหมูนุ่มอร่อยทำราดหน้า นิยมใช้หมักด้วยไข่ หรือ ไข่ผสมแป้ง เพราะเวลาที่นำไปทำน้ำราดหน้าจะมีความข้นของน้ำโดยไม่ต้องเติมแป้งมากนัก 
    2. ราดหน้าอร่อยๆบางสูตรที่ทำขาย เขาจะใช้น้ำซุปต้มกระดูกหมู เพราะถ้าน้ำซุปอร่อยก็ทำให้ราดหน้าออกมาอร่อยด้วย

    3. เส้นราดหน้าก็มีเสน่ห์อยู่ในตัว…ผัดเส้นใช้ไฟแรงๆ กระทะเหล็กหนาๆ …ใส่น้ำมันปาล์มแค่ฉาบผิวกระทะ…เอาเส้นใหญ่ที่คลี่ออกแล้วลงผัด…ไม่ต้องใส่ซีอิ๊วดำ ให้หอมแค่กลิ่นเส้นที่ผัดด้วยไฟแรง (กลิ่นไหม้ของเส้นใหญ่)

    4. แป้ง...ใช้ได้ทั้งนั้น แป้งมัน, แป้งข้าวโพด, แป้งท้าวฯ แป้งสองอย่างผสมกัน ลองทำดู มันจะมีข้อแตกต่างกัน

    5. อีกอย่างที่น่าจะมีคือ พริกชี้ฟ้าดอง (ไม่ใช่พริกชี้ฟ้าแช่น้ำส้ม) ซอยพริกชี้ฟ้าเขียวเป็นแว่นๆ เคล้ากับเกลือป่น หมักทิ้งไว้1คืน รุ่งเช้าเทน้ำส้มสายชูใส่ (นี่ถึงจะเรียกพริกดอง)

    6. ผักต้องลวกให้กรอบอร่อยและยังคงสีเขียวสดของผัก…ด้วยการช๊อคผัก…เราสามารถใช้ผักต่างๆได้ตามชอบในราดหน้า…แต่ควรแยกลวกผักทีละชนิด (เพราะผักจะสุกไม่พร้อมกัน)…หากใช้ กระหล่ำดอก และข้าวโพดอ่อน ให้ลวกทีหลังนะคะ เพราะหากลวกก่อนจะมีเศษเล็กๆไปเปื้อนผักอื่นๆได้ ทำให้ไม่สวย และผักที่ลวกแล้วสามารถจัดใส่จานเพื่อรอรับประทานได้เลย

    วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

    ขนมจีนน้ำเงี้ยว 3 สูตรเด็ด ทำง่ายแต่รสชาติแซ่บเวอร์

    ขนมจีนน้ำเงี้ยว (Khanom jeen nam ngiaw) เป็นอีกเมนูขนมจีนอร่อยขึ้นชื่อของอาหารภาคเหนือ รสชาติจะเค็มนำตามด้วยเปรี้ยวจากมะเขือเทศ คล้ายๆกับที่เรากินก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง แต่มันจะออกเปรี้ยวจากมะเขือเทศ เผ็ดปานกลาง และหอมน้ำพริกแกง ถ้าจะให้ได้รสชาติทางเหนือก็ต้องใส่ถั่วเน่าด้วย ส่วนดอกเงี้ยวนั้นบางจังหวัดของทางเหนือเขาก็ไม่นิยมใส่ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของเลือดไก่ และกระดูกหมู กินกับขนมเส้น หรือเส้นขนมจีน และเครื่องเคียงได้แก่ ผักกาดดอง ถั่วงอก เป็นต้น ที่มาของ “ขนมจีนน้ำเงี้ยว”นั้น ทางเหนือเขาเรียกว่า “ข้าวหนมเส้นน้ำเงี้ยว” และคำว่า “เงี๊ยว” ไม่ใช่มาจากดอกงิ้ว แท้จริงแล้วขนมจีนน้ำเงี้ยวมาจากไทยใหญ่ คำว่าเงี้ยวเป็นคำที่เรียกไทยใหญ่ เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าของต้นตำรับนั่นเอง วันนี้ zabwer.com ได้นำสูตรขนมจีนน้ำเงี้ยว รสอร่อยกลมกล่อมแบบชาวเหนือมาฝากไว้ที่นี่แล้ว รับรองว่าอร่อยแช่บเวอร์แน่นอนและที่สำคัญคือทำง่ายมาก....

     

    สูตรที่ 1 
    ขนมจีนน้ำเงี้ยวสูตรลูกผสมเชียงรายลำปาง ใช้น้ำพริกน้ำเงี้ยวสำเร็จรูป


    ส่วนผสม
    • กระดูกหมูซี่โครง และกระดูกหมูเศษ อย่างละ ½ กิโลกรัม
    • หมูสับ (ใช้เนื้อหมูสะโพกหรือสะโพกติดมัน)
    • เลือดไก่ 2 ก้อน
    • มะเขือเทศลูกเล็ก 500 กรัม – 1 กิโลกรัม (ตามแต่ชอบ)
    • ขนมจีน 1-2 กิโลกรัม
    • ผักเคียง ถั่วงอก/ ผักกาดดองซอย / ต้นหอมและผักชี ซอย / กระเทียมเจียว/ แคปหมู/ มะนาวฝาน
    ส่วนผสมพริกแกงน้ำพริกน้ำเงี้ยว
    • น้ำพริกน้ำเงี้ยวเชียงราย (ประมาณซองละ 25 บาท) ประมาณ 2 ขีด
    • กระเทียม (2 หัว) ได้กระเทียมประมาณ 20 กลีบ 
    • หอมแดง 10 หัว
    • รากผักชี 4 ก้าน
    • พริกแห้ง 5 เม็ด
    • กะปิจืด 1 ช้อนโต๊ะพูน ๆ
     
    วิธีทำ (เมนูนี้สำหรับ 6 คนรับประทาน)
      1. แล้วก็เริ่มโขลกด้วยครกหิน โดยเริ่มจากรากผักชีตำจนแหลก ตามด้วยกระเทียมพริกแห้ง ตามด้วยหอมแดง แล้วปิดท้ายด้วยกะปิจืด เมื่อโขลกเครื่องแกงเสร็จแล้วพักไว้ก่อน
        2. เตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นที่จะทำให้พร้อม ดังนี้
        • นำกระดูกหมูซี่โครงและกระดูกหมูเศษ มาล้างให้สะอาดพักให้สะเด็ดน้ำ…แล้วตั้งหม้อน้ำเปล่าให้เดือด นำกระดูกทั้ง 2 ชนิดลงไปต้มให้เดือด ประมาณ 3-5 นาที โดยไม่ต้องใช้ทัพพีคน…พอเริ่มเห็นฟองสีดำลอยขึ้นเหนือหม้อก็ปิดแก๊สแล้วเททั้งกระดูกหมูและน้ำเดือดลงกระชอนเป็นอลูมิเนียม หรือสะแตนเลสแบบรูกว้างๆ…ล้างกระดูกหมูด้วยน้ำเย็นแล้วพักไว้ (แล้วค่อยนำกระดูกหมูไปผัดกับน้ำพริกน้ำเงี้ยวที่เตรียมไว้)
        •  เลือดไก่ 2 ก้อน ล้างน้ำแล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หรือจะหั่นใหญ่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเกือบ 1 นิ้ว ก็ได้แล้วแต่ความชอบ
        •  ล้างมะเขือเทศลูกเล็ก 1 กิโลกรัม เลือกที่สีส้มสดหรือที่เราเรียกกันว่า มะเขือส้ม หั่นเอาส่วนขั้วทิ้งแล้วหั่นเป็น 2- 4 กลีบ
        •  นำเนื้อหมูสะโพกหรือสะโพกติดมันมาสับเป็น หมูสับ เตรีมไว้…หรือถ้าไม่สับเองก็ซื้อเนื้อหมูที่ตลาดแล้วแจ้งแม่ค้าให้สับมาให้เลยก็ได้
          3. ตั้งกระทะด้วยไฟปานกลางเติมน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย เมื่อไฟร้อนค่อยตักน้ำพริกน้ำเงี้ยว และน้ำพริกที่เราตำเพิ่มลงไปผัดให้เข้ากันจนหอม ก็นำกระดูกหมูที่เตรียมไว้ผัดกับเครื่องแกงให้พอสุก
            4. เมื่อผัดกระดูกหมูกับน้ำพริกจนได้กลิ่นหอมแล้ว ก็ปิดแก๊สเปลี่ยนมาเคี่ยวต่อในหม้อแทน โดยหม้อจะใช้ไปเป็นหม้อ เส้นผ่านศูนย์กลาง 28 เซนติเมตรขึ้นไปจะใช้งานได้สะดวกดีค่ะ หม้อแก้วของเราขนาด 26 เซนติเมตรเลยต้องคอยเฝ้าเติมเพื่อเคี่ยวทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ข้อดีของการใช้หม้อแก้ว หรือหม้อตุ๋นจะให้กระดูกที่เคี่ยวเปื่อยได้ไวขึ้นค่ะ…ช่วงแรกตั้งไฟแรง…แล้วหมั่นมาเติมน้ำทุก ๆ 10-15 นาที (ซึ่งเราก็จะยืนใกล้ ๆ เพื่อเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาค่ะ)
            5. เมื่อเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่นสร็จก็หันไปดูหม้อน้ำเงี้ยวบ้างนะคะ…ว่าน้ำงวด(แปลว่ามันแห้ง หรือลด) ไปมากหรือยัง แล้วค่อยเติมน้ำเพื่อตั้งไฟเคี่ยวต่อไป
              6. เสร็จจากเครื่องปรุงในน้ำเงี้ยว เราก็มาเตรียมผักเครื่องเคียงกันต่อเลย…
              • ล้างต้นหอมผักชี แล้วนำมาหั่นเป็นท่อน ๆ ขนาด 1 เซนติเมตร จัดใส่ถ้วยเตรียมไว้
              • ผักกาดดอง เลือกซื้อแบบที่เป็นหัวไม่มีใบ แล้วนำมาเด็ดทีละก้านล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นเป็นเส้นตามแนวขวางของก้านหนาประมาณ ครึ่งเซนติเมตร แล้วจัดใส่ถ้วย
              • ถั่วงอกล้างให้สะอาดแล้ววางสะเด็ดน้ำในกระชอน ระหว่างรอเดี๋ยวค่อยมาดึงเอาเปลือกและรากออกค่ะ เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็เอาทิชชูแผ่นใหญ่ชุบน้ำเปล่าให้พอชุ่มแล้วนำมาปิดทับบนถั่วงอกไว้เพื่อให้ถั่วงอกสดชื่น รอน้ำเงี้ยวสุก
              • จัดขนมจีนเป็นคำๆ
                7. หม้อน้ำเงี้ยวเคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง…มาลองดูว่ากระดูกเปื่อยหรือยัง…ให้ใช้ส้อมหรือไม้จิ้มฟัน จิ้มเบาๆ เข้าไปที่เนื้อหมูหากไม่มีอาการเด้งกลับของส้อมแปลว่ากระดูกหมูเริ่มเปื่อยแล้ว (หากมีการเด้งกลับแปลว่ายังไม่เปื่อยดี เคี่ยวต่อแล้วมาลองทดสอบเป็นระยะค่ะ) ให้ทยอยใส่หมูสับละลายให้เป็นชิ้นเล็กๆ ระวังอย่าให้ติดกันเป็นก้อนเดี๋ยวจะไม่เข้าน้ำเข้าเนื้อ เสร็จจากหมูสับก็เติมเลือดหมูที่หั่นลงไป รอให้เดือดอีกรอบก็ใส่มะเขือเทศที่หั่นไว้ตามไป…ปิดฝาหม้อทิ้งเคี่ยวให้ทุกอย่างเข้าเนื้ออีกสัก 15-20 นาที
                 
                8. เมื่อทุกอย่างเข้าทีแล้ว ก็ตักชิมรสจะเติมกะปิ น้ำปลากันตามรสที่ชอบได้เลย แต่หม้อนี้รสนัว กลมกล่อมด้วยน้ำพริกเชียงรายของป้าศรีลุน เครื่องแกงแบบลำปางของคุณแม่ และมะเขือส้มเปรี้ยวนุ่ม ๆ 1 กิโลกรัม (หรือจะเพิ่มน้ำพริกแกงส้มอีกสัก ครึ่งช้อนโต๊ะก็ได้)
                9. ตักน้ำเงี้ยวที่ได้ใส่ถ้วยเสิร์ฟพร้อมกับขนมจีน และผักเครื่องเคียงต่างๆที่เตรียมไว้มาปรุงแต่งแต้มตามความชอบได้เลย…สำหรับสูตรนี้เป็นนำเงี้ยวเชียงรายแต่ไม่ได้ใส่ดอกงิ้ว เพราะประชากรส่วนใหญ่ที่จะทานหม้อนี้ไม่นิยม หากต้องการใส่ดอกงิ้วด้วย ให้ใส่ตอนเคี่ยวไปกับกระดูกหมูเลยนะคะ เพราะดอกงิ้วต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน พอๆ กับกระดูกหมูเลย
                สูตรนี้สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่: http://www.priknum.com/khanom-jeen-nam-ngiaw/

                สูตรที่ 2 ขนมจีนน้ำเงี้ยว
                สูตรนี้จากรายการ มาดามตวง Food Work อีกสูตรอร่อย ที่มีรายละเอียดขั้นตอนตามนี้



                ส่วนผสม
                • เลือดไก่ 1 ก้อน
                • ซี่โครงหมู 1 กิโลกรัม
                • หมูสับ 300 กรัม
                • น้ำเปล่า 1½ ลิตร
                • น้ำมันพืช ½ ถ้วยตวง
                • เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
                • น้ำเปล่า 5 ช้อนโต๊ะ
                • น้ำตาลทราย ¼ ถ้วยตวง
                • ดอกงิ้วแห้ง (แช่น้ำเตรียมไว้) 30 กรัม
                • มะเขือเทศสีดา 15 ลูก
                • กระเทียมเจียว 1 ถ้วย
                • ขนมจีน 1 กิโลกรัม
                • ผักเคียง ถั่วงอก ผักกาดดอง / ต้นหอม ผักชี ซอย / กระเทียมเจียว/ พริกน้ำมัน
                น้ำพริกน้ำเงี้ยว
                ส่วนผสม
                • พริกแห้งเม็ดใหญ่(แช่น้ำ) 15 เม็ด
                • พริกแห้งจินดา(แช่น้ำ) 10 เม็ด
                • กระเทียมกลีบเล็ก 15-20 กลีบ
                • หอมแดง ½ ถ้วยตวง
                • ข่า 3 แว่น
                • เมล็ดผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
                • รากผักชี 3 ราก
                • กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ
                • ถั่วเน่าย่างโขลก 2 แผ่น
                วิธีทำ
                1. โขลกถั่วเน่าย่าง เม็ดผักชี ให้ละเอียดตักขึ้นพักไว้
                2. โขลกพริกแห้งที่แช่น้ำให้ละเอียด ตามด้วย รากผักชี ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอมแดง กะปิ ให้ละเอียดแล้วจึงใส่ถั่วเน่าและเมล็ดผักชีที่ตำละเอียดแล้วลงผสมให้เข้ากันพักไว้
                3. ต้มน้ำซุปใส่ซี่โครงหมูอ่อนลงต้มพอให้เปื่อย จากนั้นใส่ดอกงิ้วที่แช่น้ำแล้วลงต้มให้เข้ากันพักไว้
                4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงพอร้อน ใส่เครื่องแกงที่โขลกลงไปผัดให้หอม จากนั้นใส่ หมูสับ ตามด้วยมะเขือเทศสีดาลงไปผัด นำไปใส่ลงไปในส่วนของน้ำซุป ปรุงรส เกลือ น้ำปลา และน้ำตาลชิมรส แล้วใส่เลือดไก่ลงไปปล่อยให้เดือดอีกครั้ง จัดเสิร์ฟรับประทานกับขนมจีน ผักเคียงต่างๆ
                สูตรนี้ดูเพิ่มเติมได้ที่: http://www.madametuang.com/index.php/recipe/all-tips/1/604-water-snake-noodles

                สูตรที่ 3 
                ขนมจีนน้ำเงี้ยวสูตรใส่เต้าเจี้ยวแทนถั่วเน่า



                ส่วนผสม
                • กระดูกหมู 250 กรัม
                • กระดูกซี่โครงหมู 250 กรัม
                • หมูสับ 100 กรัม
                • เลือดหมูหรือเลือดไก่ก้อนใหญ่ (หั่นชิ้นใหญ่ประมาณ 1x1 นิ้ว) 1 ก้อน
                • มะเขือเทศ 200 กรัม
                • ดอกงิ้วแช่น้ำจนนุ่ม 15 ดอก
                • เกลือ 1½ ช้อนชา
                • ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
                • น้ำเปล่า 12 ถ้วยตวง
                • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
                • ต้นหอมผักชีซอย ½ ถ้วยตวง
                • กระเทียมเจียว ½ ถ้วยตวง
                • พริกแห้งทอด 20 เม็ด
                • ขนมจีน 1 กิโลกรัม
                • ผักรับประทานกับขนมจีน เช่น ถั่วงอก ถั่งฝักยาว กะหล่ำปลี ผักกาดดองเค็ม ฯลฯ ผักตามชอบ 
                ส่วนผสมพริกแกง
                • พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเม็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 10 เม็ด
                • ข่าซอย 1½ ช้อนโต๊ะ
                • หอมแดงหัวขนาดกลาง ซอย 7 หัว
                • รากผักชีซอย 3 ราก
                • กระเทียมไทย 15 กลีบ
                • กะปิ 1½ ช้อนโต๊ะ
                • เต้าเจี้ยว 2½ ช้อนโต๊ะ
                วิธีทำ (เมนูนี้สำหรับ 6-8 คนรับประทาน)
                1. โขลกพริกแกงโดยโขลกพริกแห้งกับข่าพอละเอียดดี ใส่กระเทียม รากผักชี และหอมแดงลงไปโขลกจนละเอียดดี ใส่กะปิกับเต้าเจี้ยวลงไปโขลดจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันตักใส่ถ้วยพักไว้
                2. ล้างกระดูกหมูและกระดูซี่โครงหมูให้สะอาด เพื่อความสะอาดอาจนำไปรวนในน้ำร้อนก่อน 1 ครั้ง พักไว้
                3. ตั้งหม้อใส่น้ำด้วยไฟแรงจนร้อนใส่กระดูกหมูลงไปต้มพอน้ำเดือดอีกครั้งใส่เกลือลงไป ระหว่างนี้หากมีฟองขึ้นให้ช้อนฟองทิ้ง พอช้อนฟองออกหมดให้ลดไฟลงเหลือปานกลาง ปิดฝาต้มประมาณ 30 นาที เร่งไฟแรงใส่กระดูซี่โครงหมูลงไปต้มด้วยกัน หากมีฟองขึ้นให้ช้องฟองทิ้งอีก ลดไฟลงเหลือปานกลางปิดฝาต้มต่อ
                4. ตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางจนร้อนใส่น้ำพริกแกงที่โขลกไว้ลงไปผัดจนหอมและน้ำมันออกมา ใส่หมูสับลงไปผัดด้วยกันจนหมูสับสุกดีใส่มะเขือเทศซอย และดอกงิ้ว ลงไปผัดด้วยกัน ผัดพอเครื่องเข้ากันดีปิดไฟ ตักใส่หม้อที่ต้มกระดูกหมู ต้มต่ออีกประมาณ 30 นาที เร่งไฟแรงใส่เลือดไก่หรือหมูลงไป ตามด้วยซีอิ้วขาว พอน้ำเดือดอีกครั้ง ลดไฟลงเหลือปานกลางต้มต่ออีกประมาณ 20 นาที ลดไฟลงเหลืออ่อนปานกลาง ชิมรสปรุงตามชอบให้เค็มนำ ต้มต่อเรื่อยๆจนรสชาติกลมกล่อมดี
                5. ตักน้ำเงี้ยวที่ได้ใส่ถ้วยเสิร์ฟพร้อมกับขนมจีน ต้นหอมผักชีซอย ผักสด พริกขี้หนูแห้งทอด กระเทียมเจียว เสิร์ฟร้อนๆ    (สูตรนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.siammoo.com/show_food.php?id=117)

                เคล็ดลับความอร่อย

                • สำหรับดอกงิ้วหรือดอกเงี้ยว ให้เอาเกสรของดอกเงี้ยวออกด้วย เพราะถ้าไม่เอาออกจะทำให้น้ำแกงมีลักษณะเหนียวได้
                • น้ำเงี้ยวจะมีรสเปรี้ยวนิดหน่อยจากมะเขือเทศ ควรเลือกใช้มะเขือเทศลูกเล็ก เพราะจะให้รสเปรี้ยวมากกว่ามะเขือเทศผลใหญ่
                • สามารถใช้เต้าเจี้ยวชนิดเม็ดหรือใส่แต่กะปิอย่างเดียว ทดแทนก็ได้…ถ้าไม่มีถั่วเน่าแผ่น รสชาติความอร่อยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก
                • ก่อนปรุงควรชิมก่อน เพราะถ้าใช้เต้าเจี้ยวจะมีรสเค็มอยู่แล้ว และการใช้เต้าเจี้ยวจะทำให้น้ำแกงมีความเข้มข้นขึ้น
                • สังเกตุได้ว่านี่เป็นอาหารอีกอย่างที่หลีกเลี่ยงการใช้น้ำปลา หากใช้เกลือและซีอิ้วขาวจะทำให้น้ำเงี้ยวมีรสชาดนุ่มนวลกว่าครับ
                • น้ำเงี่ยวจะอร่อยหรือไม่อร่อยอยู่ที่น้ำพริก เพราะการปรุงน้ำพริกเป็นสูตรเฉพาะของแต่ละคน ว่าใส่อะไรมากใส่อะไรน้อย รสชาติที่ออกมาจึงแตกต่างกัน
                • ควรลวกเลือดหมูในน้ำเดือดก่อนเพื่อดับกลิ่นคาวของเลือดหมู แล้วจึงนำมาใส่ในน้ำแกง…การต้มเลือดหมูที่ดีคือ ต้มน้ำให้เดือดก่อน ใส่เลือดหมูลงไป (ทั้งก้อนใหญ่) ใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อดับกลิ่นคาว จากนั้นหรี่ไฟลง ให้เดือดเบาๆ ต้มไปประมาณ 30 นาที ปิดไฟ แช่เลือดไว้อย่างนั้นประมาณ 10-15นาทีจนอุ่นแล้วจึงนำออกมาหั่น วิธีนี้เลือดหมูจะไม่แข็ง....ถ้าไม่ชอบไม่ใส่ก็ได้ครับ

                แม่นเหลือเชื่อ เลขท้ายบัตร บอกได้ว่าคุณ จะร่ำรวยหรือลำบาก

                 การทำนายดวงชะตาว่าจะรวยหรือจนนั้นแม้จะหาความแน่นอนไม่ได้นักเพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นไปตามการตัดสินใจของเราด้วย แต่ว่าตัวเลขที่อยู่ติดตัวเราต...