ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2564

ข้าวมันไก่ ข้าวมันหอมอร่อย เนื้อนุ่ม ทานคู่น้ำจิ้ม

 

ข้าวมันไก่ ข้าวมันหอมอร่อย เนื้อนุ่ม ทานคู่น้ำจิ้ม

ข้าวมันไก่เป็นเมนูที่หลายๆคนชื่นชอบในการทาน ด้วยข้าวที่มีความมันมีความหอมอร่อย บวกกับเนื้อไก่ที่มีความนุ่ม ทานคู่กับน้ำจิ้มรสชาติดีทานคู่กันอร่อยเข้ากันเป็นอย่างดี ซดน้ำซุปร้อนๆ เป็นเมนูที่หาซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง

แต่ถ้าหากว่าเพื่อนๆคนไหนที่อ ย า กจะทำทานเอง วันนี้เราได้มีสูตรการทำข้าวมันไก่มาแจกให้กับเพื่อนๆได้ทำตามกันได้ ในสูตรนี้จะได้ข้าวมันไก่ที่มีความมันกำลังพอดี มีเนื้อของไก่ที่มีความนุ่ม มีความหอมน่าทาน น้ำจิ้มครบรส ราตามมาดูกันเลยว่าทำกันอย่างไร

ส่วนผสมไก่ต้ม

อกไก่ สะโพกไก่ , ขิงบุบ , รากผักชีบุบ , กระเทียมบุบ , เกลือ , เม็ดพริกไ ท ยดำ , น้ำเย็นจัด

วิธีทำไก่ต้ม

1 ก่อนอื่นเราจะเริ่มด้วยการต้มไก่ก่อน ให้เราต้มน้ำใส่ขิงบุบ รากผักชีบุบ กระเทียมบุบ และตามด้วยเกลือ ต้มให้น้ำเดือดจัด จากนั้นให้เรานำไก่ลงไปต้ม ในระหว่างการต้มนั้นให้เราตักฟองออกให้หมด และให้หรี่ไฟอ่อนทำการต้มต่อนานประมาณ 30-40 นาที

2 เมื่อครบเวลาให้เราตักไปแช่ลงในน้ำเย็นจัด เพื่อที่จะไม่ให้ไก่สุกเพิ่มขึ้น เมื่อเนื้อไก่เย็นตัวแล้วให้เราพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ และนำมาหั่นใส่จานชิ้นขนาดตามที่ชอบได้เลย

ส่วนผสม ข้าวมัน

ข้าวหอมมะลิ , ขิงซอย , กระเทียมสับ , น้ำมัน , น้ำซุปไก่

วิธีทำข้าวมัน

1 วิธีการทำข้าวมันน้ำให้เราล้างข้าวส า รให้สะอาดพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ

2 จากนั้นให้เราทำการผัดขิงซอยเข้ากับกระเทียมสับให้มีความหอม ใส่ข้าวของเราลงไปผัดให้เข้ากัน ให้ได้กลิ่นของความหอม และให้เราตักใส่ลงไปในหม้อหุงข้าว เติมน้ำซุปไก่ลงไป ระดับน้ำให้เหมือนกับที่เราหุงข้าวตามปกติ

น้ำจิ้มข้าวมันไก่

มิโซะ หรือเต้าเจี้ยว , น้ำตาลทรายแดง จะได้สีสวย , น้ำส้มสายชู หรือมะนาว , ขิงหั่นเต๋าเล็ก ๆ , กระเทียมสับ , พริกขิ้ห นูซอย , น้ำต้ม

– สำหรับวิธีการทำน้ำจิ้มนั้นให้เราผสมมิโซะหรือไม่มีอาจจะใช้เป็นเต้าเจี้ยวแทน เข้ากับน้ำตาลทรายแดง น้ำส้มสายชู คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตามด้วยการใส่ขิง กระเทียม พริก เติมน้ำต้มใส่ลงไปเล็กน้อยคนให้เข้ากันและชิมรสชาติให้ได้ตามชอบ

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสำหรับเคล็ดลับการทำเมนูข้าวมันไก่แสนอร่อย ที่ทานคู่กับน้ำจิ้ม เนื้อไก่ที่มีความนุ่ม ตัวข้าวที่มีความมันกำลังพอดี ใครได้ทานในสูตรนี้ก็เป็นต้องติดใจกันอย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก : maekwansri

กระทะใช้ไปนานๆ ติดหนึบ หนามากแค่ไหน ก็ขัดออกได้ง่ายดาย

 

กระทะใช้ไปนานๆ ติดหนึบ หนามากแค่ไหน ก็ขัดออกได้ง่ายดาย

กระทะในครัวที่เราใช้ในการประกอบอาหารอยู่ทุกวันไม่ว่าจะเป็นการผัดหรือทอด เมื่อใช้ไปเป็นเวาลานานเราก็จะเห็นได้ว่ามีคราบดำติดอยู่ที่ก้นกระทะ ไม่ว่าจะขัดจะถูยังไงคราบดำที่ติดอยู่นั้นก็ไม่ออกไปซักที ทำให้เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านหลายคนต่างก็กังวลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะไม่ว่าใครก็คงต้องการที่จะใช้กระทะใหม่ที่ดูสะอาด

และในวันนี้เราได้รวบรวมวิธีการล้างกระทะที่มีคราบไหม้ คราบดำ เปลี่ยนให้เป็นก้นกระทะให้สะอาดเอี่ยมแบบไม่ต้องออกแรงขัดมาฝาก ซึ่งวิธีการที่นำมาฝากนี้เป็นวิธีที่สามารถนำไปใช้ล้างได้ทั้งกระทะเหล็กและกระทะเทฟลอนเลย ถ้าหากใครเจอปัญหาก้นกระทะไหม้หรือกระทะมีคราบดำขัดไม่ออก ก็สามารถลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กันดูได้

1 น้ำร้อนและเบกกิ้งโซดา

ให้ใช้น้ำร้อนผสมเข้ากับเบกกิ้งโซดา 4-5 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วเอากระทะไปแช่ทิ้งไว้ 30-60 นาทีแล้วนำมาขัดออก

2 น้ำร้อนและน้ำยาล้างจาน

ให้ทำความสะอาดกระทะด้วยการผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำร้อน เพื่อการล้างคราบมัน จากนั้นให้โรยเบคกิ้งโซดาลงไปแล้วขัดด้วยฝอยขัดหม้อและน้ำอุ่นผสมยาล้างจาน

3 ซอสมะเขือเทศ

ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แต่ซอสมะเขือเทศสามารถช่วยคุณได้ โดยให้ทาซอสมะเขือเทศลงไปให้ที่ก้นกระทะ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือมากกว่านั้นก็ได้ จากนั้นค่อยๆขัดออก มะเขือเทศจะช่วยให้รอยไหม้ออกอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกระทะที่เป็นทองแดง

4 ครีมออฟทาร์ทาร์

ให้นำครีมออฟทาร์ทาร์โรยบนก้นกระทะประมาณ 3 ส่วน น้ำเปล่าตามลงไป 1 ส่วน เทส่วนผสมลงไปที่กระทะทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วใช้ฟองน้ำขัดคราบออก

5 แป้งสาลีและน้ำส้มสายชู

ให้นำแป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะผสมกับเกลือและน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เท่ากัน จากนั้นทาลงบนที่ก้นกระทะ แล้วใช้ฟองน้ำถูให้ออกให้หมด จากนั้นล้างออกด้วยน้ำร้อนที่ผสมน้ำยาล้างจาน สำหรับกระทะเทฟล่อนควรใช้สูตรนี้เลย

6 น้ำส้มสายชูกับเกลือ

น้ำส้มสายชูกับเกลือคนให้เข้ากันเป็นเนื้อเข้มข้น การใช้ฟองน้ำชุบแล้วนำไปขัดที่ก้นกระทะ จะหลุดออกได้อย่างง่ายดาย

7 มันฝรั่ง

ให้นำเบกกิ้งโซดาโรยไปที่ก้นกระทะ จากนั้นขัดด้วยมันฝรั่ง ทิ้งสักพักแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

8 เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู

ให้นำไปเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวงมาผสมกับน้ำส้มสายชู คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำไปทากระทะที่เป็นคราบพักไว้ 24 ชม. ครบเวลาพักแล้วให้ขัดกระทะออกด้วยเบคกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะน้ำส้มสายชู 2 ช้อน เพียงเท่านี้กระทะของคุณจะสะอาดเหมือนใหม่

หากใครที่กำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ก็สามารถลองเลือกนำวิธีการที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ไปลองทำตามกันดูได้ รับรองว่ากระทะของคุณจะกลับมาสะอาดเหมือนใหม่อย่างแน่นอน

ที่มา : Postsod

แม่บ้านรู้ อาหาร 20 อย่าง ที่ไม่ควรอยู่ในตู้เย็น รีบเอาออก

 

แม่บ้านรู้ อาหาร 20 อย่าง ที่ไม่ควรอยู่ในตู้เย็น รีบเอาออก

คงเป็นความเคยชินของใครหลายๆคนไปแล้วที่ไม่ว่าเราจะซื้ออะไรมาสุดท้ายก็จะจับเข้าตู้เย็นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นของสด ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋องต่างๆ เชื่อได้ว่าคงมีหลายคนเลยที่จับเข้าตู้เย็นก่อนเสมอ แต่ทราบหรือไม่ว่าไม่ใช่ของทุกอย่างที่เมื่อนำเข้าตู้เย็นแล้วจะดี ไม่ใช่ว่าการถนอมอาหารทุกอย่างคือการนำเข้าตู้เย็น ในวันนี้เราได้มาแนะนำเหล่าคุณพ่อบ้านแม่บ้านว่าอาหารชนิดไหนบ้างที่ไม่จะนำเข้าไปอยู่ในตู้เย็น ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นเชิญไปดูกันได้เลย

1 กล้วย สามารถเก็บในที่อุณหภูมิปกติได้ แต่ถ้าหากต้องการเก็บให้ได้นานมากขึ้นให้ใส่ช่องฟรีซเมื่อกล้วยมีสีดำที่เปลือก

2 กาแฟ ไม่ควรนำไปแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นจะทำให้เสียรสชาติเสียกลิ่น เมื่อคุณนำกลับมาดื่มจะได้กลิ่นของตู้เย็นแทน

3 ส้มเขียวหวาน เมื่อใส่ในตู้เย็นจะทำให้เชื้ อราเกิดขึ้นได้ง่าย ควรที่จะวางไว้อุณภูมิปกตินอกตู้เย็น หรือมัดใส่ถุงไว้เฉยๆ

4 ซอสถั่วเหลือง ส่วนมากมักจะไม่ค่อยแช่ตู้เย็นเพราะว่าจริงๆแล้ว การวางไว้ข้างนอกเฉยๆ นั้นไม่ได้ทำให้ซอสเสียหาย หากแช่ในตู้เย็นเป็นเวลานานจะทำให้มีกลิ่นที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้

5 ถั่ว ไม่ควรใส่ในตู้เย็น เพราะถั่วจะดูดกลิ่นอาหารเข้าไปแล้วคุณจะไม่อยา กรับประทานถั่วเลย

6 ขนมปัง ใครๆต่างก็รู้ว่าถ้าใส่ขนมปังไว้ในตู้เย็นจะทำให้ขนมปังแข็ง เวลาที่เรานำมารับประทานจะแข็ง และไม่อร่อย ไม่รู้ถึงรสชาติของขนมปัง

7 เมลอน ไม่ควรใส่ไว้ในตู้เย็นเพราะจะทำให้สา รอาหารในเมล่อนนี้หายไป ทางที่ดี วางไว้นอกตู้เย็น แต่ถ้าหากว่าอยา กทานเย็นๆก็ให้แช่ในตู้เย็นประมาณ 30 นาทีแล้วนำออกมาทาน

8 ใบโหระพาและใบกะเพรา เราอาจจะคิดว่าผักทุกอย่างควรแช่เย็นเพื่อเป็นการยืดอายุ แต่การนำใบโหระพาและใบกะเพราเข้าตู้เย็นจะทำให้ใบชำระหลุดง่าย ที่สำคัญใบเหล่านี้จะดูดกลิ่นในตู้เย็นเข้ามาอยู่ในใบ ทำให้กลิ่นจะไม่หอมเหมือนเดิม

9 แตงโม หลายคนชอบรับประทานแตงโมเย็น แต่จริงๆแล้วเมื่อแช่ในตู้เย็นสา รอนุมูลอิสระจะหายไป ควรผ่ าแล้วรับประทานเลยจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

10 ซอสมะเขือเทศและซอสพริก ซอสต่างๆเหล่านี้มักมีสา รกันบูดไม่จำเป็นต้องเอาเข้าตู้เย็น ให้เอาวางไว้ในอุณหภูมิปกติได้เลย

11 แอปเปิ้ล ถ้าอยา กรับประทานเย็นๆควรแช่ไว้ไม่เกิน 30 นาที เพราะถ้ามากกว่านั้นจะทำให้เสียรสชาติ ของแอปเปิ้ลได้

12 น้ำผึ้ง เมื่อเรานำน้ำผึ้งเข้าตู้เย็น โดนความเย็นเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการแข็งตัวและตกผลึก รสชาติเปลี่ยน สีเปลี่ยน กลิ่นเปลี่ยน ควรวางไว้ในภูมิปกติ

13 มันฝรั่ง ไม่ควรใส่ตู้เย็น ทำให้รสชาติเปลี่ยน ไม่อร่อยเหมือนเดิม

14 น้ำมัน ไม่ควรใส่ในตู้เย็นเด็ดขาด เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัว

15 ผักกาด ด อ ง สามารถแช่ตู้เย็นหรือไม่แช่ก็ได้เพราะ มีสา รกันบูดอยู่ในตัว

16 กระเทียม ไม่ควรใส่ไว้ในตู้เย็นเพราะจะทำให้เกิดต้นกระเทียมขึ้นมาใหม่ แล้วจะทำให้กระเทียมเล็กลงหดตัวด้วย

17 แอปเปิ้ล ถ้าอยา กรับประทานเย็นๆควรแช่ไว้ไม่เกิน 30 นาที เพราะถ้ามากกว่านั้นจะทำให้เสียรสชาติ ของแอปเปิ้ลได้

18 ฟักทอง การถนอมให้ได้นาน ควรวางที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่โดนแสงแดด วางไว้อุณภูมิปกติ

19 มะเขือเทศ ถ้าต้องการถนอมให้ได้นานควรวางไว้อุณหภูมิปกติ ถ้าใส่ในตู้เย็น จะทำให้สุกงอม ไม่น่ารับประทาน จะทำให้เละได้

20 สุ รารวมถึงเครื่องดื่มแอล กอ ฮอล์ข้อห้ามไม่ควรใส่ตู้เย็นเลย เพราะจะทำให้รสชาติและสีที่เปลี่ยนไป

เมื่อได้ทราบแบบนี้แล้วก็อย่าลืมไปเปิดตู้เย็นที่บ้านกันดู แล้วลองดูว่ามีของ 20 อย่างที่เรานำมาบอกกันในวันนี้หรือไม่ ถ้ามีก็อย่าลืมรีบหยิบออกมาไว้ด้านนอกกัน เพราะไม่เพียงจะไม่ใช่การถนอมอาหารแล้วอาจเป็นการเสียประโยชน์ของสิ่งของเหล่านั้นก็ได้

ที่มา : foodworldblog

สอนทริคง่ายๆ 7 ขั้นตอน หุงข้าวเหนียว นุ่มอร่อย ข้ามคืนยังหอมนุ่ม

 

สอนทริคง่ายๆ 7 ขั้นตอน หุงข้าวเหนียว นุ่มอร่อย ข้ามคืนยังหอมนุ่ม

ข้าวถือเป็นอาหารหลักของคนในประเทศเรา ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยหรือข้าวเหนียว ไม่ว่าจะทานอะไรอย่างน้อยก็ต้องมีข้าวถึงจะรู้สึกอิ่มท้อง การหุงข้าวสวยนั้นหุงไม่ยากเพราะการมีหม้อหุงข้าวทำให้การหุงข้าวสวยนั้นเป็นเรื่องง่าย

แต่สำหรับการต้องหุงข้าวเหนียวนั้นในบางครั้งอาจต้องใช้ความชำนาญ เพราะการจะนึ่ งข้าวเหนียวให้ได้เม็ดสวย นุ่ม สุกทั่วทั้งหมดนั้นบางทีก็เป็นเรื่องยาก แต่ในวันนี้เราก็ได้นำเคล็ดลับดีๆสำหรับการนึ่ งข้าวเหนียวทานเองมาฝากให้ทุกคนได้ทราบกัน โดยสูตรที่เราได้นำมาฝากกันในครั้งนี้นั้นเป็นสูตรการนึ่ งข้าวเหนียวสูตรโบราณที่จะทำให้ข้าวเหนียวนั้นนุ่มกำลังดีไม่นิ่มและไม่แข็งจนเกินไป ต่อให้วางเอาไว้ข้ามคืนก็ยังคงความหอมนุ่มอยู่

วิธีการทำ

1 เริ่มขั้นตอนแรกเลยคือให้เราแช่ข้าวเหนียวก่อน โดยหากเป็นข้าวเหนียวเก่าให้เราแช่ในน้ำทิ้งเอาไว้นานประมาณ 6 ชม. แต่ถ้าหากเป็นข้าวเหนียวใหม่ให้เราแช่น้ำทิ้งเอาไว้นานเป็นเวลา 3 ชม.

2 เมื่อเราแช่ข้าวเหนียวในน้ำจนครบเวลาแล้ว น้ำที่เราแช่นั้นอย่านำไปทิ้ง ให้เราเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้ โดยน้ำที่เก็บไว้นี้เขาจะเรียกว่าน้ำหม่า จะเก็บเอาไว้เพื่อทำในขั้นตอนถัดไป

3 จากนั้นให้เรานำข้าวเหนียวใส่ลงไปในหวดที่เราจะทำการนึ่ ง ตามปกติ ใช้ไฟที่ระดับปานกลาง เมื่อข้าวเหนียวของเราใกล้สุกแล้ว ให้เรานำน้ำหม่าที่เราเก็บเอาไว้ในตู้เย็นนำมาพรมให้ทั่วข้าวเหนียวของเราในปริมาณ 1 ส่วน 3 ของถ้วย

4 เมื่อเราพรหมน้ำหม่าที่ด้านบนของข้าวเหนียวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เราใช้ไม้พายคนข้าวเหนียวจากด้านล่างขึ้นด้านบนให้ทั่วอย่างเบามือ เพื่อต้องการที่จะให้ข้าวเหนียวในหวดได้ผสมรวมจนเข้ากันดี

5 ให้เราทำตามในขั้นตอนที่ 4 คือการพรหมน้ำหม่าและคนข้าวเหนียวในหวดอีกประมาณ 3 ครั้ง และให้เรากะปริมาณของน้ำหม่าให้พอสำหรับ 3 ครั้ง จากนั้นให้เรารอข้าวเหนียวจนกว่าจะสุกดี ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน

6 เมื่อข้าวเหนียวของเราสุกดีแล้ว ก็ให้ยกลงจากเตาและส่วนสำคัญเลยคืออย่าเพิ่งเปิดฝาหวดข้าวเหนียว ให้เราปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อยเป็นเวลา 15 ถึง 20 นาทีก่อน เพื่อให้ข้าวเหนียวได้คลายความร้อนและเซ็ตตัว

7 เมื่อครบเวลาแล้วจากนั้นก็ให้เปิดฝาออกพร้อมนำออกมารับประทาน จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟคู่เมนูอาหารของคุณได้เลย

เท่านี้เราก็จะได้ข้าวเหนียวที่มีความนุ่มมีความหอมอร่อย กำลังดี ข้าวเหนียวไม่แข็งและไม่นุ่มจนเกินไป และหากเราทานไม่หมดก็สามารถเก็บข้าวเหนียวด้วยการห่อด้วยผ้าขาวบางแล้วนำเอาไว้ในตู้เย็น เวลาที่เราจะนำออกมาทานก็ให้อุ่นในไมโครเวฟก็ยังคงความอร่อยความนุ่มไว้ได้เหมือนเดิม

ขอขอบคุณ : สถาบันสอนอาชีพชี้ช่องรวย , sharesod

เลิกทำผิดๆ ทั้ง 6 อย่าง ไม่ควรทำในการชาร์จมือถือ

 

เลิกทำผิดๆ ทั้ง 6 อย่าง ไม่ควรทำในการชาร์จมือถือ

คงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคปัจจุบันนี้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนได้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตของเรากันแล้ว การมีโทรศัพท์มือถือเหมือนเป็นการทำให้โลกแคบลงการติดต่อสื่อสารนั้นสะดวกรวดเร็วมากขึ้น และการใช้อินเตอร์เน็ตก็เหมือนเป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้น

และสำหรับใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนในการทำงานหรือเล่นเกมส์แน่นอนว่าก็ย่อมต้องมีช่วงให้มือถือได้พักชาจแบตบ้าง บางคนมี Power Bank ชาร์จไปด้วยเล่นไปด้วย บางคนก็ใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่ชาร์จแบตแต่เชื่อได้ว่าหลายๆคนอาจใช้วิธีการชาร์จไปด้วยและเล่นโทรศัพท์ไปด้วยซึ่งวิธีการแบบนี้นั้นย่อมส่งผลไม่ดีอย่างแน่นอน และในวันนี้เราก็ได้นำสิ่งที่ไม่ควรทำในการชาร์จมือถือมาฝากให้ทุกคนได้ทราบกัน

1 อย่ารอให้แบตหมดแล้วค่อยชาร์จ หากแบตเหลือต่ำกว่าประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็ควรจะชาร์จได้เลย ชาร์จให้อยู่ในช่วง 90-95 เปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอ อย่าปล่อยให้ทรศัพท์มือถือแบตหมดจนเครื่องดับไปเอง เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ของเราเสื่อมไวมาก อย่าปล่อยให้แบตหมดเพราะว่าจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

2 เวลาที่เราชาร์จแบตไม่ควรปล่อยให้แบตเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์เป็นประจำเพราะว่าจะทำให้แบตเสื่อมเร็ว ทางที่ดีควรให้อยู่ที่ 90เปอร์เซ็นต์ ก็ถอดออกมาใช้งานได้แล้ว

3 ไม่ควรชาร์จแบตข้ามคืน หลายคนคงเคยเป็นเมื่อเล่นดทรศัพท์เสร็จแล้วก็จะชาร์จแบตโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วเข้านอนเพื่อที่ตอนตื่นเช้ามาแบตโทรศัพท์มือถือก็จะเต้มพอดี แต่เราไม่ควรทำแบบนั้นเพราะว่าแบตเต็มนานแล้วแต่ไฟยังวิ่งเข้าออกอยู่ ก็จะทำให้แบตเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้นแถมยังเสี่ยงจะทำให้มือถือรวนมากอีกด้วย

4 เมื่อเราชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรที่จะดึงสายชาร์จออกจากปลั๊กไฟ ไม่ควรที่จะเสียบปลั๊กทิ้งไว้ ให้ถอดออกทันที เพราะอาจจะทำให้เกิดแรงดันไฟสูงมากทำให้เกิดอันต รายได้

5 หากสายชาร์จเสื่อมสภาพ ชำรุด หรือบางคนใช้สายชาร์จแบตโทรศัพท์ที่ไม่มีคุณภาพ คนละยี่ห้อคนละรุ่น ไฟเข้าคนละแบบกัน อาจจะใช้งานได้ แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะทำให้โทรศัพท์ของเราพังและเสียหายได้เลยควรเปลี่ยนทันที ห้ามฝีนใช้ต่อเพราะอาจเกิดอันต รายต่อทั้งมือถือและคนใช้งาน

6 หากโทรศัพท์มือถือเครื่องร้อน ควรจะปล่อยทิ้งไว้พักนึงก่อนรอจนกว่าเครื่องจะเย็น ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่คุณเล่นโทรศัพท์หรือว่าชาร์จแบตเตอรี่ก็ตาม หากอุณหภูมิของโทรศัพท์คุณร้อนผิดปกติ ให้รีบดึงปลั๊กออก แล้วรอให้โทรศัพท์ของคุณอยู่ในอุณหภูมิปกติก่อนแล้วค่อยนำกลับไปชาร์ต ไม่ควรรีบนำไปชาร์จ และข้อสำคัญเลยคือไม่ควรชาร์จมือถือไปเล่นไปด้วย

หากต้องการยืดอายุการใช้งานของโทรศัพท์ของคุณออกไปก็ควรทำตามคำแนะนำทั้ง 6 ข้อข้างต้นที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้ เพราะนอกจากจะเป็นการยืดอายุการใช้งานของโทรศัพท์แล้วก็ยังเป็นการป้องกันอันต รายต่างๆที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย

ขอขอบคุณ : Postsod

ชอบทานชะอมต้องรู้ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นหลังทานชะอม

 

ชอบทานชะอมต้องรู้ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นหลังทานชะอม

เชื่อได้ว่าเมนูชะอมชุบไข่ทอด ทานคู่กับน้ำพริก หรือจะเป็นแกงส้มชะอมไข่คงจะเป็นเมนูโปรดของใครหลายๆคน แต่ทราบกันหรือไม่ว่าชะอมที่เราทานๆกันอยู่นั้นถือได้ว่าเป็นยายาอายุวัฒนะ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก

การทานชะอมนั้นช่วยลดความร้อนในร่างกายของเราได้ ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีเส้นผมที่แข็งแรง ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายป้องกันในส่วนของโรคท้องผูก ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ นอกจากนี้ชะอมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมาก แต่ของทุกอย่างเมื่อมีด้านดีก็ต้องมีโทษของมันด้วย ในวันนี้เราจะมาบอกต่กทั้งประโยชน์และโทษของชะอมให้ทุกคนได้ทราบกัน แต่ทั้งนี้หากเราทานในปริมาณที่พอดีไม่มากจนเกินไปย่อมส่งผลดีต่อตัวเราอย่างแน่นอน

ประโยชน์ของชะอม

1 ยอดอ่อนของชะอมซึ่งเป็นส่วนที่เรามักนำมาทำอาหารกินกันมากที่สุดนั้น มีสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย

2 ชะอมมีเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ แก้อาการท้องผูก

3 ชะอมมีแคลเซียมสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อกระ ดูกและฟัน โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะกระ ดูกพรุนได้ง่าย ถ้าต้องการให้กระ ดูกและฟันแข็งแรงก็ต้องกินชะอมเป็นประจำ

4 ชะอมช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการป ว ดท้องได้ดี แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ

5 ในชะอมมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส แลดูอ่อนเยาว์ และป้องกันความแก่ก่อนวัย

6 ในชะอมมีฟอสฟอรัส ที่ทำหน้าที่ช่วยเสริมให้วิตามินบีต่างๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

7 ชะอมเปี่ยมไปด้วยวิตามินเอ หากใครที่กำลังตามหาผักที่มีวิตามินเอสูงต้องทานชะอม แถมยังช่วยในการบำรุงสายตาอีกด้วย

8 ชะอมมีธาตุเหล็ก ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยบำรุงโลหิต ทำให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปอย่างปกติ

9 ชะอมมีสรรพคุณช่วยบำรุงเส้นผม ที่แห้งแตกปลาย ไม่มีน้ำหนัก ให้กลับมานุ่มสลวยได้

10 ชะอมช่วยเสริมสร้างระบบของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง ไม่ป่วยง่าย เพราะฤทธิ์ของวิตามินซีที่มีอยู่มากในชะอมนั่นเอง

โทษของชะอม

1 คุณแม่หลังคลอดไม่ควรรับประทานชะอมเพราะชะอมจะส่งผลทำให้น้ำนมแห้ง

2 คนที่เกาต์ไม่ควรบริโภคชะอม เนื่องจากชะอมมีกรดยูริก หากรับประทานมากๆ อาจทำให้มีอาการได้

3 การรับประทานผักชะอมในหน้าฝน อาจจะมีรสเปรี้ยว กลิ่นฉุน บางครั้งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้องได้

ที่สำคัญเลยก็คือความสะอาด ก่อนที่จะนำชะอมมาประกอบอาหารเราควรล้างชะอมให้สะอาดก่อน จากประโยชน์ของชะอมข้างต้นแล้วหากทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลไม่ดี และนอกจากนี้ชะอมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนูอีกด้วย หากวันนี้ไม่รู้จะทานอะไรดีก็อย่าลืมนึกถึงเมนูอาหารจากชะอมซึ่งนอกจากจะได้ความอร่อยแล้วยังได้ประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

ขอขอบคุณ : beezab

สูตรหมักไก่ ให้รสชาติเข้มข้น หอมกรุ่น เก็บไว้ทำขายได้เลย

 

สูตรหมักไก่ ให้รสชาติเข้มข้น หอมกรุ่น เก็บไว้ทำขายได้เลย

เคยสังเกตกันไหมว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเห็นร้านขายไก่ย่างเต็มไปหมด เพราะเป็นเมนูที่ทานง่ายและสะดวกไม่ว่าจะทานคู่กับอะไรก็อร่อย จะทานกับข้าวเหนียวหรือข้าวสวยร้อนๆ คู่กับน้ำจิ้มรสเด็ด หรือจะทานคู่กับส้มตำก็อร่อยไปอีกแบบ เมื่อเราขับรถผ่านแล้วเห็นไก่ย่างร้อนๆก็คงจะอดใจไม่ไหวแน่

และในวันนี้เราก็ได้นำสูตรการหมักไก่เพื่อทำไก่ย่างรสเด็ดที่รับรองได้ว่าไม่ว่าใครได้ทานก็จะต้องติดใจ ด้วยรสชาติที่เข้มข้น หอม อร่อย ไม่ว่าจะทำทานเองที่บ้านพร้อมกับครอบครัวหรือว่าจะทำขายก็รับรองว่าลูกค้ามาต่อคิวซื้ออย่างแน่นอน

วัตถุดิบและส่วนประกอบ

1 น่องไก่ 4 ชิ้น

2 รากผักชี

3 พริกไท ย

4 กระเทียม

5 ซีอิ้วขาว

6 เ ห ล้ าจี น

7 น้ำผึ้งแท้

วิธีการทำ

1 สำหรับวิธีการทำนั้น ให้เราเริ่มต้นด้วยการนำน่องไก่ไปล้างน้ำหลายๆรอบให้สะอาด จากนั้นให้เรานำรากผักชี กระเทียม และพริกไท ยนำมาโขลกให้เข้ากัน จากนั้นให้ผสมเข้ากับซีอิ๊วขาว เ ห ล้ าจี นและน้ำผึ้ง โดยให้กะปริมาณเอาให้พอดีกับปริมาณของน่องไก่ที่เราจะทำ

2 จากนั้นคนส่วนผสมซอสหมักให้เข้ากันในถ้วยผสม แล้วให้เรานำน่องไก่ที่ล้างทำความสะอาดเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วมาใส่ในถ้วยผสมที่มีเครื่องหมักของเรา แล้วคลุกให้เข้ากับซอสหมักของเราเพื่อให้ซอสหมักซึมเข้าไปถึงเนื้อ และนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นนานประมาณ 60 นาที

3 เมื่อครบเวลาในการหมักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาถึงขั้นตอนในการย่ า ง หากที่บ้านใครมีเตาอบก็ให้เรานำน่องไก่ไปย่ า งบนเตา โดยเราจะใช้อุณหภูมิประมาณ 200 องศา ใช้เวลาในการย่ า งประมาณ 40 นาทีจนไก่ของเราสุกทั่วทั้งชิ้น และเนื้อด้านในมีความชุ่มดี หรือหากใครที่ไม่มีเตาอบในการย่ า งก็สามารถใช้เตาถ่านธรรมดาก็ได้ จะได้ความหอมที่มากกว่า

เท่านี้เราก็จะได้ไก่ย่างหอม อร่อย รสชาติเข้มข้น เนื้อนุ่ม จะทานคู่กับข้าวสวยหรือว่าข้าวเหนียวร้อนๆก็ได้ ยิ่งทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด ที่รสชาติกลมกล่อมจากข้าวคั่วหอมๆ และน้ำปลา มะนาว ทำให้รสชาติของไก่ย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นรับรองว่าทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มแน่นอนและในวันนี้เราก็ได้นำสูตรการทำน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดมาฝากกันด้วย

สูตร น้ำจิ้มแจ่ว

ส่วนประกอบ

1 พริกป่น 2 ช้อนโต๊ะ

2 น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

3 ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

4 น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

5 น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

6 ผักชี

วิธีการทำ

1 เริ่มขั้นตอนแรกด้วยการนำ พริกป่น ข้าวคั่ว น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ใส่ลงไปในชามผสม คนจนกว่าน้ำตาลจะปี๊บละลาย

2 จากนั้นเติมมะนาวลงไป โดยให้ค่อยๆ เติมที่ละนิดพร้อมกับชิมไปด้วย ถ้าไม่เปรี้ยวให้เติมลงไปอีกจนได้รสชาติตามใจชอบ โรยด้วยผักชีซอย เท่านี้ก็จะได้น้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดไว้ทานคู่กับไก่ย่างแสนอร่อยกันแล้ว

ขอขอบคุณ : kubkhao, mthai

คนมีบุญควรรู้ 7 วิธีเพิ่มบุญให้ตัวเอง ไม่ต้องไปวัด ทำบุญได้

 

คนมีบุญควรรู้ 7 วิธีเพิ่มบุญให้ตัวเอง ไม่ต้องไปวัด ทำบุญได้

เรื่องของความเชื่อและความศรัทธาเป็นเรื่องส่วนบุคคล คนเราทุกคนต่างก็มีความเชื่อและความศรัทธาที่แตกต่างกันออกไป และสำหรับชาวพุทธส่วนมาแล้วมักจะเชื่อในเรื่องของผลบุญและผลกร รม หลายคนนิยมไปทำบุญ ถวายสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลาที่วัดเพียงอย่างเดียวเพราะคิดว่าจะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเองและคนรอบข้าง แต่ทราบหรือไม่ว่าบุญนั้นอยู่ที่ไหนก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็สร้างได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัดเพียงอย่างเดียว

และในวันนี้เราจะมาบอกวิธีการทำบุญแบบง่ายๆโดยที่ไม่ต้องไปวัด และเป็นวิธีที่ประหยัดเวลา มาฝากกัน วิธีที่เรานำมาฝากนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปทำบุญ ทำแบบนี้ก็ได้บุญเหมือนกัน

1 วิธีแรกคือวิธีการง่ายๆเลย สำหรับคนที่ต้องการทำบุญกับพระคือการตักบาตรตอนเช้า เพียงตื่นเช้าขึ้นอีกสักนิด รู้จักการให้มากกว่าการรับ แล้วชีวิตของคุณจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น นอกจากการตักบาตรในตอนเช้าแล้วเราควรที่จะรักษาศีล 5 ด้วย ซึ่งศีล 5 นั้นประกอบไปด้วย ข้อที่ 1 ตั้งใจงดเว้นจากการพรากสัตว์ ข้อที่ 2 ตั้งใจงดเว้นจากการลักขโมย ข้อที่ 3 ตั้งใจงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ข้อที่ 4 ตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ พูดคำหยาบ คำส่อเสียด เพ้อเจ้อ ข้อที่ 5 ตั้งใจงดเว้นจากดื่ม

2 สวดมนต์ก่อนนอน ให้พระธรรมช่วยขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นอาจเป็นบทสวดมนต์ง่ายๆ อย่างการแผ่เมตตา หรืออิติปิโส แต่ถ้ามีเวลาหน่อยก็สวดพระคาถาชินบัญชร 1 จบก็จะดีมาก

3 หลังจากที่สวดมนต์แล้วก็ควรนั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที แบ่งเวลาแค่เพียงวันละ 5 นาที อยู่กับตัวเองด้วยการนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ

4 ดูแลคนในครอบครัว คนที่อยู่ที่บ้าน ทำให้พวกท่านมีความสุข เค้าว่ากันว่าพ่อแม่คือพระประจำบ้าน อย่าทำให้ท่านเดือดร้อนใจ หรือเป็นทุกข์ใจ

5 ช่วยผู้อื่นด้วยความเต็มใจ และเราจะต้องไม่เดือดร้อนจากการช่วยนั้น คือช่วยตามกำลังความสามารถของเราที่เราพอทำได้

6 การให้ทานหรือการแบ่งปัน การให้สิ่งของที่ไม่ใช้ก็ให้คนอื่นไปใช้ประโยชน์เสื้อผ้า หนังสือ ที่ไม่ใช้แล้ว ไม่มีค่าแล้วสำหรับเรา อาจมีค่าอย่างยิ่งสำหรับคนอื่น ลองแบ่งปันให้พวกเขาดูบ้าง คนไม่มีเวลาหรือมีเวลาน้อย

7 รู้จักการให้อภัยต่อผู้อื่น ให้อภัยในสิ่งที่เขาทำกับเราไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ ก็ตาม การให้ทานไม่ได้หมายถึงเพียงการให้เป็นสิ่งของเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การให้อภัยทานก็ถือเป็นการให้ทานอย่างหนึ่งเช่นกัน มีคำกล่าวที่ว่าการให้ทานแม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ อภัยทาน แม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทาน ก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่จองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน

สำหรับใครที่หาเวลาหรือไม่สะดวกต่อการไปทำบุญที่วัดไม่ต้องกังวลไป เพราะไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็สามารถสร้างบุญได้กันทั้งนั้น 7 ข้อข้างต้นนั้นเป็นเพียงบางส่วนของการสร้างบุญเท่านั้น การที่เราประพฤติดี ปฏิบัติดีโดยที่ไม่สร้างปัญหาและความเดือดร้อนต่อผู้อื่นก็ถืเป็นการสร้างบุญเช่นกัน

ที่มา : postsod

ยกมือขึ้นดู เส้นลายมือมีกี่เส้น 1-6 บอกลักษณะคุณได้ตรงใจมาก


 

ยกมือขึ้นดู เส้นลายมือมีกี่เส้น 1-6 บอกลักษณะคุณได้ตรงใจมาก

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ลองอ่านการทำนายลักษณะนิสัยด้วยอะไรหลายๆแบบไม่ว่าจะเป็นจากการชอบสี จากเบอร์โทรศัพท์มือถือ และในวันนี้เรามีเรื่องราวของการทายนิสัยจากเส้นบริเวณข้างมือของคุณ

ลักษณะการดูนั้นให้ลองพลิกฝ่ามือขึ้นมาดู แล้วมองดูว่าด้านข้างนั้นมีกี่เส้น โดนคนปกติทั่วไปแล้วจะมีหนึ่งถึง 1-6 เส้น ซึ่งแต่ละเส้นนั้นบ่งบอกถึงลักษณะในการใช้ชีวิต บอกนิสัยและทำนายในเรื่องของอนาคตได้

มี 1 เส้น , 5 เส้น

โดยส่วนมากแล้วมักเป็นคนที่ไม่ยอมคน รักเดียวใจเดียว เงินไม่สามารถซื้อคุณได้ และแน่นอนว่าคุณเป็นคนที่จริงจังกับการใช้ชีวิต มักจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการลงมือทำด้วยตัวของคนเองแต่ก็เป็นคนที่มีความฉลาดรอบรู้อยู่ในตัว เป็นคนดีมีน้ำใจ มีจิตใจดีอบอ้อมอารี เป็นคนที่มีความมั่นคงในเรื่องของการกระทำและคำพูด ชีวิตของคุณในช่วงแรกๆและช่วงกลางกลางอาจจะลำบากมากกว่าคนปกติ แต่ชีวิตของคุณจะดีขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางคน เมื่อก้าวเข้าสู่วัยประมาณ 35 ปีขึ้นไป จะเจอเรื่องราวที่ทำให้คุณเหนื่อย แต่ความเหนื่อยนี้จะนำพามาซึ่งความสุขและความเจริญในชีวิต อาชีพที่เหมาะสมของคุณนั้นจะเป็นในเรื่องของการบริการและการค้าขาย จะประสบความสำเร็จมากเป็นพิเศษ ถ้าเส้นของคุณตรง ให้เก็บไว้ด้วยนะคะ แล้วโชคดีรอบนี้จะเข้ามา

มี 2 เส้น

คุณเป็นคนที่มีความจงรักภักดีและรักในความซื่อสัตย์และยุติธรรม ให้ความสำคัญกับศิลธรรมอันดีและความถูกต้อง เป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่ค่อยยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ มีความห้าวและความกล้าหาญ อ่อนน้อมถ่อมตน รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในช่วงวัยกลางคนของคนนั้นอาจจะลำบากมากกว่าคนอื่น แต่ก็ต้องขอให้เชื่อเถอะว่ามันจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การใช้ชีวิตของคุณอาจจะต้องหมดแรงกับการทำงาน และรู้สึกท้อแท้ผิดหวังมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่เมื่อคุณอายุมากขึ้นชีวิตของคุณก็จะสุขสบาย ขอเพียงไม่ยอมแพ้และไม่ท้อแท้กับอุปสรรคที่เจอก็พอ หากเส้นของคุณตรงมาก เก็บเอาไว้แล้วจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเร็ววัน ขอให้ร่ำรวยขึ้น

มี 3 เส้น , 6 เส้น

เป็นคนที่ใจกว้าง มีน้ำใจต่อผู้อื่นคิดและหวังดีต่อผู้อื่นเสมอ มีความโดดเด่นในช่วงวัยกลางคน ทั้งในเรื่องของการทำงาน การค้าการขาย เรื่องของความรักมักจะเจอกับเรื่องราวที่ไม่ค่อยน่าประทับใจมาก่อน แล้วจะเจอกับเรื่องราวที่ดีอันแสนหวานตามมาทีหลัง คนที่มีลักษณะเช่นนี้ มักจะเป็นคนที่รอบคอบ ชอบคิดหน้าคิดหลังนึกถึงอนาคตอยู่เสมอ ตรงไปตรงมาไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม ในช่วงวัยกลางคนของคุณบางครั้งอยู่ในช่วงสุขสบาย บางครั้งก็อยู่ในช่วงที่ลำบาก นั่นเป็นเพราะว่าชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา

มี 4 เส้น

การใช้ชีวิตของคุณในบางครั้งอาจจะสุขสบาย บางครั้งก็ลำบากจนคุณรู้สึกว่าทำดีก็ไม่ได้ดี แม้ว่าชีวิตของคุณจะได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งช้ามากก็ตาม แต่มันจะนำพามาซึ่งประสบการณ์และการใช้ชีวิตที่ดีเลิศในอนาคต โดยลักษณะนิสัยของคนนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมใคร ไม่ชอบเห็นใครนินทาลับหลัง เป็นคนที่ตรงไปตรงมาไม่พูดจาอ้อมค้อม ไม่ชอบการรอคอยอะไรนานๆ เป็นคนที่เบื่อกับการทำอะไรซ้ำซ้ำเดิมเดิมๆ ชีวิตของคุณจะประสบความสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อคุณมีความพยายามและความเชื่อใจในการกระทำของตนเอง

สำหรับใครที่ต้องการลองทายนิสัยก็สามารถทำตามกันได้ง่าย ตรงไม่ตรงอย่างไรก็สามารถคอมเม้นบอกกันได้เลย

เรียบเรียง / ภาพประกอบ : hostingrc

ขอขอบคุณ : Postsod

คนที่น้ำต้มเมล็ดมะรุม ให้ดื่มวันละ 1 แก้ว ประโยชน์ที่ได้ดีมาก

 

คนที่น้ำต้มเมล็ดมะรุม ให้ดื่มวันละ 1 แก้ว ประโยชน์ที่ได้ดีมาก

ในปัจจุบันนี้คนเริ่มหันมาสนใจและดูแลร่างกายกันมากขึ้น เริ่มหันมาสนใจทางด้านสมุนไพรและพืชพื้นบ้านกันมากขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็มีสูตรน้ำสมุนไพรเฉพาะตัวที่จะช่วยดูแลระบบต่างๆของร่างกายได้ และในวันนี้เราก็มีน้ำสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากๆอีกชนิดหนึ่งมาแนะนำให้ทุกคนได้ทราบกัน

โดยส่วนมากแล้วเราจะนิยมนำมะรุมมาใช้ในการประกอบอาหารอาจจะเป็นพวกแกงมะรุม หรือใช้ยอดอ่อนมะรุมมาทานคู่กับน้ำพริก แต่ในวันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับน้ำต้มเมล็ดมะรุม ซึ่งหากได้ดื่มทุกวันรับรองว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างมาก โดยมะรุมจัดเป็นพืชผักสมุนไพรชนิดหนึ่ง เป็นไม้ยืนต้น โตเร็ว ปลูกง่าย สามารถนำมาประกอบในเมนูอาหารได้อย่างหลากหลาย มะรุมนั้นนอกจากความอร่อยที่ได้แล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆหลายชนิด

วิธีทำน้ำต้มเมล็ดมะรุม

ในส่วนของขั้นตอนแรกให้นำเมล็ดมะรุมมาตากแห้ง1กำมือ นำมาใส่ในหม้อที่ต้มในน้ำเดือดประมาณ 1 ลิตร ต้มประมาณ 5นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมารับประทาน ครั้งละ 1 แก้ว หลังอาหาร เช้าและก่อนนอน แต่ถ้าหากในแต่ละวันมีการขับถ่ายมากกว่าเดิมก็ให้ลดปริมาณลงได้

ประโยชน์ของมะรุม

1 สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบา หวาน ให้ดื่มวันละ 1 แก้วจะช่วยในการลดน้ำตาลในโลหิตของคุณได้เป็นอย่างดี

2 ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

3 ช่วยรักษาอาการหวัด เป็นไข้ แก้ไอ หรือมีอาการไอได้

4 น้ำต้มเมล็ดมะรุม ดื่มแก้เมื่อยตามร่างกาย เมื่อยหลัง เมื่อยเอว กระ ดูกทับเส้น ช่วยบรรเทาอาการของโรคไขข้อ ไขข้ออักเสบ เมื่อยตามข้อหรือกล้ามเนื้อได้

5 รักษาโรคขาดส า รอาหารอย่างได้ผลดี โดยเฉพาะในแรกเกิดถึงอายุ 10 ขวบ ทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์และแข็งแรงขึ้น

6 มะรุมมีฤทธิ์ในการช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ ไม่หยาบกร้าน มีผิวที่นุ่มนวลขึ้น

7 ช่วยบำรุงร่างกาย ปรับสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ

8 มีส่วนช่วยในการบำรุงเกี่ยวกับตาของเราให้มีการทำงานได้ดีขึ้น

9 ส่วนฝักของมะรุมช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกายได้

10 ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย และช่วยรักษาโรคโลหิตจาง

11 ใบและฝักของมะรุมช่วยลดความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูง

12 น้ำมันมะรุมช่วยบรรเทาอาการและลดสิวบนใบหน้า

ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นเพียงประโยชน์ส่วนหนึ่งของมะรุมเพียงเท่านั้น จริงๆแล้วมะรุมยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก แต่ทั้งนี้แล้วหากผู้ที่ต้องการใช้มะรุมเพื่อรักษาอาการต่างๆที่เป็นอยู่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง

ขอขอบคุณ : สุดยอดสมุนไพรและตำรับยาไท ย เครือข่ายนายหลินจือ , siamherbs

ทายนิสัยเบอร์มือถือ เลขท้ายบอกนิสัยลึกๆ คนเสน่ห์มากแค่ไหน

 

ทายนิสัยเบอร์มือถือ เลขท้ายบอกนิสัยลึกๆ คนเสน่ห์มากแค่ไหน

ศาสตร์ของการทำนายนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน หลายคนคงจะเคยได้ทราบกันมาบ้างแล้วว่าเบอร์โทรศัพท์ที่เราใช้กันอยู่นั้นก็สามารถทำนายหรือบ่งบอกถึงนิสัย รวมไปถึงบุคลิกภาพเบื้องต้นของเจ้าของเบอร์นั้นๆได้เช่นกัน และในวันนี้เราก็ได้นำการทำนายนิสัยจากเลขตัวสุดท้ายของเบอร์โทรศัพท์มือถือ ลองมาดูว่าจะแม่นยำมากแค่ไหนมีตัวเลขตั้งแต่เลข 0 ถึงตัวเลข 9

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 0

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 0 นั้น ส่วนมากแล้วจะค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบความวุ่นวายใจ เป็นคนที่ไม่เปิดเผยอะไรง่ายๆ มีความสงบเยือกเย็น ไม่ชอบการวุ่นวายกับบุคคลอื่น เป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้า วางแผนสิ่งที่จะตามมาในอนาคต เป็นคนมีที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องของการกระทำและหลักเหตุผลมากที่สุด ตรงไปตรงมา เป็นคนที่เชื่อมั่นในเป้าหมายของตัวเอง

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 1

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 1 นั้นรักเกียรติ รักศักดิ์ศรี เป็นคนใจร้อนเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ไม่ชอบง้อใคร มีความมั่นใจในตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์ดี ตัดสินใจรวดเร็วเด็ดขาด มีความเป็นผู้นำ ทำงานเก่งและแกร่ง กล้าคิด กล้านำ กล้าตัดสินใจ และเป็นคนที่มีอีโก้สูง

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 2

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 2 นั้นเป็นคนใจดี ชอบสงสารคน มีคำพูดที่มีเสน่ห์ มีจิตใจที่เมตตากรุณาต่อผู้อื่นเสมอ มีจินตนาการที่ดี แต่หนักไปทางชอบคิดมากกว่าทำ จอมโปรเจค มีโลกส่วนตัวสูง มีจิตใจอ่อนโยน ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 3

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 3 เป็นคนใจร้อน ไม่กลัวใคร เสียงดัง พูดตรงไปตรงมาหรือพูดแรง ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ตัดสินใจเร็ว มีความกระตือรือร้นสูง เป็นคนบ้าพลังชอบทำสิ่งที่ตื้นเต้นเร้าใจ มีความแข็งแกร่งในจิตใจ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 4

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 4 เป็นคนช่างเจรจา ค้าขายเก่ง รักอิสระ ชอบการวิจารณ์ ชอบการประณีประนอมมากกว่าแตกหัก มีมนุษย์สัมพันธ์ดี รักเพื่อน มีเพื่อนมาก ไม่ชอบไปไหนคนเดียว มีทักษะทางด้านการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน การค้าขาย

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 5

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 5 เป็นคนรอบคอบ พูดจามีเหตุมีผล มีหลักการตลอด มีความสนใจในการเรียนรู้ เป็นคนที่ชอบใช้เหตุใช้ผล เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ดังนั้นจึงมักเชื่อตนเองมากกว่าเชื่อผู้อื่น เป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจ

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 6

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 6 เป็นคนแต่งตัวดี มีรสนิยม ชอบอะไรที่ให้ความสุนทรีย์ รักความสนุกสนานรื่นเริง รักสบาย ไม่ชอบความลำบาก ทั้งใช้เงินเก่ง และเหนียวได้ในคนเดียวกัน

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 7

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 7 บอกได้เลยว่าทั้งถึก และทน มีความอดทนสูงและความรับผิดชอบสูงเช่นเดียวกัน ทำอะไรชอบวางแผนหรือมักจะคิดมาก จนกลายเป็นคนที่ชอบวิตกกังวลมากเกินไปได้ ไม่ชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 8

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 8 เป็นคนที่เข้าสังคมได้ทุกระดับ ใจกว้าง มีนํ้าใจ กล้าได้กล้าเสีย คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ต้องการมากกว่าวิธีการ ซิกแซกเก่ง รู้หลบเป็นหลีก

เบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 9

คนที่มีเบอร์โทรศัพท์ตัวสุดท้ายเป็นเลข 9 นี้ มักจะบ่งบอกถึงการมีซิกเซ้นในเรื่องของสัมผัส เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับในรูปแบบต่างๆ เป็นคนที่มีความสงบเยือกเย็น ไม่ชอบการวุ่นวายใจ มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างใช้ชีวิตแบบไม่ยึดติดความสะดวกสบาย เป็นคนที่รักคนยากมาก แต่ถ้าหากได้รักใครสักคนนึงแล้วจะทุ่มเททั้งกายและใจให้ ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ

สำหรับศาสตร์การทายนิสัยจากหมายเลขเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เรานำมาฝากกันในครั้งนี้นั้นก็เป็นเพียงการทำนายนิสัยและเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเพียงเท่านั้น ตรงไม่ตรงอย่างไรก็สามารถคอมเม้นบอกกันได้

ขอขอบคุณ : อาจารย์พราหมณ์เมศ วาสุเทพ

สิ่งที่หลายคนมองข้าม 7 สิ่งที่ไม่ควรทำ สำหรับขับรถเกียร์ออโต้

 

สิ่งที่หลายคนมองข้าม 7 สิ่งที่ไม่ควรทำ สำหรับขับรถเกียร์ออโต้

เชื่อได้เลยว่าในสมัยนี้นั้นรถยนต์แทบจะถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ สำหรับหลายๆครอบครัว เนื่องจากการคมนาคมที่ไม่ค่อยสะดวกมากนัก การมีรถยนต์เป็นของตัวเองทำให้การเดินทางไปในที่ต่างๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางคนเดียวหรือไปกับครอบครัวสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อเรามียานพาหนะที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แล้วนั้นเราก็ควรที่จะใช้ดูแลและใช้อย่างทะนุถนอมเพื่อให้เราสามารถใช้ไปได้เป็นเวลานานและไม่ต้องมาเสียเงินค่าซ่อมและค่าอะไหล่ต่างๆ

และรถที่นิยมขับกันในปัจจุบันนั้นส่วนมากแล้วคนจะนิยมขับรถที่เป็นระบบเกียร์ออโต้ ซึ่งจะมีเกียร์ P สำหรับจอด เกียร์ R สำหรับถอย เกียร์ N สำหรับจอดชั่วคราว เกียร์ D ขับปกติ เกียร์ 2 ขับทางลาดชัน และเกียร์ L ขับทางชันมากใช้ความเร็วต่ำ ซึ่งยังมีอีกหลายคนที่ใช้งานแบบผิด ๆ และในวันนี้วันนี้เรามี 7 ข้อที่คนขับรถเกียร์ออโต้ไม่ควรทำมาแนะนำให้ทุกคนได้ทราบกัน

1 เวลาติดไฟแดงใช้เกียร์ P

ถึงแม้ว่าเกียร์ P จะใช้สำหรับจอด แต่ไม่ว่าจะติดไฟแดง หรือจอดไว้ข้างทางที่มีรถวิ่งอยู่ หากเข้าเกียร์ P ไว้ สลักล็อกในชุดเกียร์ก็จะทำงาน ทำให้เมื่อเกิดเหตุถูกชนท้ายขึ้นมา มันก็จะก่อให้เกิดความเสียหายกับชุดเกียร์มากขึ้น ดังนั้นคุณจึงควรใช้เกียร์ P เฉพาะบางพื้นที่ เช่น จอดรถในบ้าน ที่จอดรถในห้าง

2 ทำการเร่งเครื่องก่อนใส่เกียร์ D

การเร่งเครื่องค่อยใส่เกียร์ D นั้นจะทำให้ระบบกลไกของเกียร์พังง่ายมาก อายุการใช้งานรถจะเสื่อมเร็วกว่าเดิม

3 เข้าเกียร์ N แล้วปล่อยรถไหลไปตามทาง

บางครั้งอาจปล่อยไหลลงสะพาน หรือก่อนจะถึงไฟแดง ซึ่งการทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะคุณจะทำให้ชุดเกียร์ที่หมุนขบกันไปมาตลอดเวลา ขาดน้ำมันเกียร์ เนื่องจากการเข้าเกียร์ N จะทำให้ชุดเกียร์ไม่สามารถใช้น้ำมันเกียร์เข้ามาหล่อเลี้ยงได้ ทำให้เกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ และก่อให้เกิดความเสียหายในชุดเกียร์

4 กดคันเร่งจนมิด หรือคิกดาวน์บ่อยๆ เพราะต้องการเร่ง หรือแซงในบางจังหวะ

การทำแบบนี้ จะทำให้เกียร์เปลี่ยนอัตราทดต่ำลง และเมื่อเครื่องยนต์เรียกรอบได้ ก็จะทำให้รถมีกำลังเพื่อที่จะเร่งแซง หรือพุ่งไปด้านหน้าได้รวดเร็วกว่าเดิม แต่การทำแบบนี้บ่อยๆ ก็จะทำให้แรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วนี้ ไปทำความเสียหายกับชุดเกียร์มากกว่าปกติ ส่งผลทำให้ชุดเกียร์พังไวขึ้น

5 เข้าเกียร์ P แบบทันทีเวลาจอดทางชัน

เวลาจะจอดรถทางชันนั้นให้ดึงเบรกมือก่อนจากนั้นให้มั่นใจว่ารถไม่ไหลแน่นอน แล้วค่อยเข้าเกียร์ P จะทำให้ยึดได้อยู่และกลไกของเกียร์ยังสมบูรณ์ แต่ถ้าเข้ามา P เลยกลไกเกียร์จะชำรุดได้ง่าย

6 ไม่ยอมเช็คน้ำมันเกียร์

ก่อนออกเดินทางนอกจากจะเช็คเรื่องลมยางหรือหม้อน้ำแล้ว น้ำมันเกียร์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรเช็คด้วยเช่นกัน สำหรับรถเกียร์ออโต้แล้วถือว่าสำคัญมาก ถ้าหากยังดีอยู่จะทำให้เกียร์ใช้งานได้ดีและนาน หากไม่ยอมเช็คเลยอาจจะทำให้เกียร์เสียหายได้ หากมีการลากรถไปอู่นั้นสิ่งสำคัญก็คือต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มด้วยเพื่อลดความร้อนของเกียร์ในระหว่างที่ลาก

7 ขับรถลากเกียร์

รถเกียร์ออโต้นั้นควบคุมให้ปรับเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงเองตามความเหมาะสมอยู่แล้ว ส่วนบางคนก็เลือกที่จะเปลี่ยนเกียร์เองตามที่รอบเครื่องยนต์ทำงานสูง ซึ่งถ้าทำแบบนี้จะทำให้ระบบทอกค์คอนเวอร์เตอร์เสียหายได้ง่ายมาก

สำหรับใครที่ขับรถเกียร์ออโต้อยู่แล้วเคยทำเหมือนเหตุการณ์ที่เรานำมาฝากกันนี้นั้นก็ควรระวังและไม่ทำอีกเพื่อเป็นการดูแลรักษารถให้อยู่กับเราไปนานๆ

ที่มา :  sanook

แม่นเหลือเชื่อ เลขท้ายบัตร บอกได้ว่าคุณ จะร่ำรวยหรือลำบาก

 การทำนายดวงชะตาว่าจะรวยหรือจนนั้นแม้จะหาความแน่นอนไม่ได้นักเพราะส่วนหนึ่งมันก็เป็นไปตามการตัดสินใจของเราด้วย แต่ว่าตัวเลขที่อยู่ติดตัวเราต...